ผศ.ชล บุนนาค
กระเเสการศึกษาเเละวิจัยเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนเป้าหมายพัฒนาที่ยั่งยืนจำเป็นต้องปรับตัวเปลี่ยนเเปลงให้เข้ากับข้อท้าทายของสังคมเเละบริบทท้องถิ่นเพื่อให้สามารถเข้าใจเเละผลิตองค์ความรู้ที่มีน้ำหนักหลักฐานจากพื้นที่จริงเเละผลการศึกษาที่ได้สามารถยกนำย้อนกลับมาปรับใช้กับพื้นที่ได้
SDG Insights ฉบับนี้ ผศ.ชล บุนนาค ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเเละสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) จึงเขียนถึงการพลิกโฉมงานวิจัยเพื่อ SDGs ที่มุ่งหมายมากกว่าเเค่การศึกษาหาคำตอบเเต่วาดหวังไปถึงการสร้างการเปลี่ยนเเปลงที่จะทำให้ความยั่งยืนทางสังคม เศรษฐกิจ เเละสิ่งเเวดล้อมเกิดขึ้นจริงได้
01 – ความเข้าใจพื้นฐาน: ความยั่งยืนและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
การเริ่มต้นทำงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) จำเป็นต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนและลึกซึ้งเกี่ยวกับแนวคิดพื้นฐานของ “ความยั่งยืน” เสียก่อน การทำความเข้าใจนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการนำงานวิจัยที่มีอยู่มา “จับคู่” (mapping) กับเป้าหมาย SDGs ข้อใดข้อหนึ่ง แต่เป็นการทำความเข้าใจถึงแก่นแท้และจิตวิญญาณของความยั่งยืน เพื่อให้สามารถออกแบบงานวิจัยที่สร้างผลกระทบเชิงบวกและตอบโจทย์ความท้าทายต่าง ๆ ได้อย่างแท้จริง
| นิยามและความหมายของความยั่งยืน (Definition and Meaning of Sustainability)
คำนิยามที่เป็นมาตรฐานสากลและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางของ การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) มาจากรายงานของคณะกรรมาธิการโลกว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา (WCED) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Brundtland Commission ในปี 1987 (พ.ศ. 2530) ซึ่งระบุว่า “การพัฒนาที่ตอบสนองความต้องการของคนรุ่นปัจจุบัน โดยไม่กระทบต่อความสามารถของคนรุ่นอนาคตในการตอบสนองความต้องการของตนเอง” ในช่วงแรกของการนำเสนอแนวคิดนี้ ประเด็นหลักที่ถูกให้ความสำคัญมักจะเกี่ยวข้องกับผลกระทบของการพัฒนาทางเศรษฐกิจต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษ 1990 (พ.ศ. 2533-2542) เกิดความตระหนักรู้ในระดับสากลว่าการบรรลุความยั่งยืนนั้นไม่สามารถมุ่งเน้นเพียงมิติสิ่งแวดล้อมแต่เพียงอย่างเดียวได้ แต่จำเป็นต้องพิจารณาและจัดการกับมิติอื่น ๆ อย่างบูรณาการ แนวคิดนี้จึงพัฒนาไปสู่การมองความยั่งยืนผ่านสามเสาหลัก (Three Pillars of Sustainable Development) ได้แก่ มิติสังคม (Social) มิติเศรษฐกิจ (Economic) และมิติสิ่งแวดล้อม (Environmental) ซึ่งเป็นที่คุ้นเคยกันดี สิ่งสำคัญคือทั้งสามมิตินี้ไม่ได้ดำรงอยู่อย่างแยกส่วน แต่มีความเชื่อมโยง สัมพันธ์ และส่งผลกระทบซึ่งกันและกันอย่างใกล้ชิด การดำเนินงานเพื่อความยั่งยืนจึงต้องคำนึงถึงความสมดุลและการบูรณาการของทั้งสามมิตินี้ (ดังที่มักจะถูกนำเสนอด้วยภาพวงกลมสามวงที่ซ้อนทับกัน เพื่อแสดงถึงพื้นที่ของการบูรณาการ)
มุมมองล่าสุดเกี่ยวกับความยั่งยืนได้พัฒนาไปอีกขั้น โดยมองว่า เศรษฐกิจนั้นฝังตัว (embedded) อยู่ในสังคม และสังคมก็ฝังตัวอยู่ในสิ่งแวดล้อม ซึ่งหมายความว่าระบบเศรษฐกิจและสังคมจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืนก็ต่อเมื่อการดำเนินงานทั้งหมดอยู่ภายใต้ขีดจำกัดและศักยภาพของระบบนิเวศและทรัพยากรธรรมชาติของโลก (Planetary Boundaries) แนวคิดนี้ตอกย้ำถึงความซับซ้อนและความจำเป็นในการมองปัญหาและการพัฒนาอย่างเป็นระบบ (systemic view) โดยให้ความสำคัญกับความเชื่อมโยง (interconnections) ระหว่างองค์ประกอบต่างๆ
| หลักการสำคัญที่ขับเคลื่อน SDGs (Key Principles Driving SDGs)
นอกเหนือจากเป้าหมายทั้ง 17 ข้อ และเป้าประสงค์ย่อย (targets) อีกกว่า 169 ข้อ สิ่งที่มีความสำคัญยิ่งกว่าและเป็นรากฐานของ SDGs ทั้งหมดคือ หลักการ (Principles) ที่อยู่เบื้องหลัง หลักการเหล่านี้เปรียบเสมือน “จิตวิญญาณ” ที่จะนำทางและกำหนดทิศทางการออกแบบและการดำเนินงานวิจัย รวมถึงการดำเนินนโยบายและการปฏิบัติการต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของความยั่งยืนอย่างแท้จริง หลักการสำคัญที่ขับเคลื่อน SDGs ประกอบด้วย:
- ความยั่งยืน (Sustainable): หมายถึง การพัฒนาที่ไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการในปัจจุบัน แต่ยังต้องคำนึงถึงผลกระทบในระยะยาว ไม่สร้างภาระหรือผลกระทบเชิงลบต่อคนรุ่นหลัง ทั้งในมิติสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
- ความครอบคลุมและการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (Inclusive and Leave No One Behind): เป็นหลักการที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่กระจายผลประโยชน์อย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม คำนึงถึงกลุ่มผู้ด้อยโอกาส กลุ่มเปราะบาง และผู้ที่อาจถูกละเลยหรือกีดกันออกจากกระบวนการพัฒนา เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนสามารถเข้าถึงโอกาส ทรัพยากร และสวัสดิการทางสังคมได้อย่างทั่วถึง
- ความสามารถในการปรับตัวและรับมือ (Resilient): หรือ “การตั้งรับปรับตัว” ซึ่งหมายถึง การพัฒนาที่เสริมสร้างให้บุคคล ชุมชน และระบบต่างๆ มีความสามารถในการทนทานต่อแรงกระแทกและการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝัน สามารถฟื้นตัวจากวิกฤตได้อย่างรวดเร็ว และที่สำคัญคือสามารถเรียนรู้และพัฒนาไปสู่สภาวะใหม่ที่ดีกว่าและมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น
- สิทธิมนุษยชน (Human Rights): การพัฒนาทั้งหมดต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเคารพและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนสากล ซึ่งรวมถึงสิทธิในการมีชีวิตที่ดี สิทธิในการเข้าถึงปัจจัยพื้นฐาน สิทธิในการมีส่วนร่วม และการได้รับการปฏิบัติอย่างมีศักดิ์ศรี
ดังนั้น งานวิจัยใดๆ ก็ตาม หากผลลัพธ์ที่ได้นั้นเป็นประโยชน์ต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน ส่งเสริมความสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อม ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสหรือกลุ่มเปราะบาง เสริมสร้างความเข้มแข็งและความสามารถในการพึ่งพาตนเองของชุมชน หรือส่งเสริมและเคารพสิทธิของทุกกลุ่มคน ก็ถือได้ว่างานวิจัยนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องและสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน หลักการทั้งสี่นี้จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักวิจัยสามารถพิจารณาและระบุได้อย่างชัดเจนว่างานของตนมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนวาระความยั่งยืนในมิติใดบ้าง
| โครงสร้างและภาพรวมของ SDGs (Structure and Overview of SDGs)
เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เป็นส่วนหนึ่งของกรอบการพัฒนาที่สำคัญระดับโลกที่เรียกว่า “วาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 (The 2030 Agenda for Sustainable Development)” ซึ่งได้รับการรับรองจากประเทศสมาชิกสหประชาชาติทั้ง 193 ประเทศ เมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) แม้ว่า SDGs จะเป็นข้อตกลงที่ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย (non-binding agreement) แต่ก็มีกลไกการติดตามและทบทวนความคืบหน้าในระดับสากล เพื่อกระตุ้นให้ประเทศต่างๆ ดำเนินการอย่างจริงจัง
โครงสร้างของ SDGs ประกอบด้วย
- 17 เป้าหมายหลัก (17 Goals): ครอบคลุมประเด็นการพัฒนาที่หลากหลาย โดยมุ่งเน้นไปที่ 2 แกนหลักคือ ผู้คน (People) และ โลก (Planet) อย่างไรก็ตาม การจะบรรลุเป้าหมายในสองแกนนี้ได้นั้น จำเป็นต้องมีการปฏิรูปและพัฒนาในมิติอื่นๆ ควบคู่กันไป ได้แก่ เศรษฐกิจ (Prosperity) เพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรืองที่ยั่งยืนและทั่วถึง สันติภาพและความยุติธรรม (Peace) เพื่อสร้างสังคมที่สงบสุขและมีธรรมาภิบาล และ ความเป็นหุ้นส่วน (Partnership) เพื่อระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนเป้าหมายร่วมกัน (มักเรียกรวมกันว่า 5Ps: People, Planet, Prosperity, Peace, Partnership)
- 169 เป้าประสงค์ย่อย (169 Targets): เป็นส่วนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เนื่องจากเป็นการลงรายละเอียด ขยายขอบเขต และระบุสิ่งที่ต้องดำเนินการหรือบรรลุผลสำเร็จภายในปี ค.ศ. 2030 (พ.ศ. 2573) ของแต่ละเป้าหมายหลัก การทำความเข้าใจเป้าประสงค์ย่อยจึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการทำงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ SDGs อย่างมีประสิทธิภาพและตรงจุด ตัวอย่างเช่น ประเด็นเรื่องฝุ่น PM2.5 ไม่ได้ถูกระบุโดยตรงในเป้าหมายที่ 13 (การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) แต่อยู่ในเป้าประสงค์ย่อยของเป้าหมายที่ 11 (เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน) หรือประเด็นด้านวัฒนธรรมปรากฏอยู่ในเป้าประสงค์ย่อยของเป้าหมายที่ 4 (การศึกษาที่มีคุณภาพ) และเป้าหมายที่ 11
- 251 ตัวชี้วัด (251 Indicators): เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการติดตามและประเมินความก้าวหน้าของการดำเนินงานตามเป้าประสงค์ย่อยในระดับโลก (Global Indicator Framework) สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ ตัวชี้วัดเหล่านี้มีความแตกต่างจากตัวชี้วัดที่มหาวิทยาลัยต่างๆ อาจใช้ในการจัดอันดับผลกระทบ (Impact Ranking)
ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งคือ ความเชื่อมโยงกัน (Interconnectedness/Interlinkage) ของ SDGs เป้าหมายและเป้าประสงค์ทั้งหมดไม่ได้ดำรงอยู่อย่างเป็นอิสระต่อกัน แต่มีความสัมพันธ์และส่งผลกระทบถึงกันอย่างซับซ้อน การดำเนินงานในเป้าหมายหนึ่งอาจส่งผลดี (synergies) หรือผลเสีย (trade-offs) ต่อเป้าหมายอื่นๆ ได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมองภาพรวมและพิจารณาผลกระทบเหล่านี้อย่างรอบด้านในการวางแผนและดำเนินงานวิจัยหรือโครงการต่างๆ มีงานวิจัยจำนวนมากที่พยายามทำความเข้าใจความเชื่อมโยงเหล่านี้ และเสนอว่าการขับเคลื่อน SDGs อาจมุ่งเน้นไปที่ประเด็นยุทธศาสตร์หลัก (strategic themes) เพียงไม่กี่ด้าน เช่น การปฏิรูประบบเศรษฐกิจ ระบบอาหาร ระบบพลังงาน และการพัฒนาเมืองที่ยั่งยืน ซึ่งจะส่งผลกระทบในวงกว้างไปยังเป้าหมายอื่นๆ
นอกจากนี้ แนวคิดเรื่อง การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน (Transition to Sustainability) ยังระบุถึง 3 ระยะที่สำคัญ ได้แก่ ระยะก่อตัว (Emergence) ซึ่งมักเป็นช่วงของการทดลอง โครงการนำร่อง ระยะเร่งรัด (Acceleration) เป็นช่วงของการขยายผลและนำไปปรับใช้อย่างกว้างขวาง และ ระยะสร้างเสถียรภาพ (Stabilization) คือช่วงที่แนวทางปฏิบัตินั้นกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ (new normal) ของสังคม
| สถานการณ์ SDGs ปัจจุบัน (Current SDG Status)
จากข้อมูลและการประเมินล่าสุด (อ้างอิงถึงช่วงปลายปี 2023 หรือตามข้อมูลที่ผู้บรรยายกล่าวถึง) สถานการณ์การบรรลุเป้าหมาย SDGs ทั่วโลกยังคงน่าเป็นห่วง และมีความเป็นไปได้สูงที่เราจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายทั้งหมดได้ภายในปี ค.ศ. 2030 โดยมีรายงานว่ามีเพียงประมาณ 17% ของเป้าประสงค์ทั้งหมดเท่านั้นที่อยู่ในทิศทางที่จะบรรลุได้ ขณะที่เป้าประสงค์จำนวนมากไม่มีความคืบหน้าหรือถดถอยลง โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 2 (ยุติความหิวโหย บรรลุความมั่นคงทางอาหารและยกระดับโภชนาการ และส่งเสริมเกษตรกรรมที่ยั่งยืน) และเป้าหมายที่ 14 (อนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทร ทะเล และทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน) ซึ่งดูเหมือนเป็นกลุ่มที่มีเป้าประสงค์ย่อยที่ไม่คืบหน้าหรือถดถอยมากที่สุด
สำหรับ ประเทศไทย การติดตามสถานการณ์ SDGs อาศัยข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช. หรือ NESDC) คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (UNESCAP) และรายงาน SDG Index จากการประมวลข้อมูลเหล่านี้ พบว่าประเทศไทยยังคงเผชิญกับ 6 ความท้าทายหลัก ในการขับเคลื่อน SDGs ได้แก่
- ระบบเกษตรและอาหารที่ยั่งยืน
- ระบบเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรมและไม่ยั่งยืน
- สุขภาพและการสร้างขีดความสามารถของประชากร
- ความสามารถในการรับมือและปรับตัวต่อภัยพิบัติ
- การอนุรักษ์และฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ
- ธรรมาภิบาลและกลไกการขับเคลื่อน SDGs ที่มีประสิทธิภาพ
ประเด็นท้าทายเหล่านี้ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนระดับชาติที่ต้องการองค์ความรู้จากงานวิจัยและนวัตกรรมเข้ามาช่วยในการหาทางออกและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความยั่งยืน
02 – เหตุใดวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม
จึงสำคัญต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)?
การจะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ซึ่งมีความหลากหลายและท้าทายนั้น ไม่สามารถอาศัยเพียงเจตจำนงที่ดีหรือการดำเนินงานตามแนวทางเดิมๆ ได้ คำตอบที่ชัดเจนว่าเหตุใดงานวิจัยจึงต้องมีการปฏิรูปและเข้ามามีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นนั้น อยู่ที่ลักษณะของประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ SDGs เอง ซึ่งมีความ “ซับซ้อนสูง (complex problems)” หรือที่บางครั้งเรียกว่า “ปัญหาที่แก้ไม่ตก” (wicked problems)
ปัญหาเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาแรงงานข้ามชาติ ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำโขง ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา การจัดการขยะพลาสติก หรือปัญหามลพิษทางทะเล ล้วนมีลักษณะร่วมกันที่ทำให้การแก้ไขเป็นไปได้ยากหากใช้เพียงศาสตร์เดียวหรือหน่วยงานเดียวเข้ามาจัดการ ลักษณะสำคัญของปัญหาซับซ้อนเหล่านี้ ประกอบด้วย:
- เป็นปัญหาหลายระดับและข้ามพรมแดน (Multi-level and Transboundary): ปัญหาจำนวนมากไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในระดับท้องถิ่นหรือระดับประเทศ แต่มีความเชื่อมโยงและส่งผลกระทบข้ามพรมแดน ทั้งในเชิงภูมิศาสตร์และเชิงระบบ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ซึ่งเคลื่อนตัวข้ามจังหวัดและข้ามประเทศ หรือปัญหาระบบอาหาร (food systems) ที่มีห่วงโซ่อุปทาน (supply chains) เชื่อมโยงกันในระดับภูมิภาคและระดับโลก การแก้ปัญหาเหล่านี้จึงต้องอาศัยความร่วมมือและการประสานงานในหลายระดับ ตั้งแต่ระดับชุมชนไปจนถึงระดับนานาชาติ และต้องคำนึงถึงความแตกต่างของกฎระเบียบและบริบทในแต่ละพื้นที่
- เป็นปัญหาที่ตัดข้ามกัน (Intersectional): กลุ่มคนที่ประสบปัญหาซ้ำซากหรืออยู่ในภาวะเปราะบาง มักไม่ได้เผชิญกับปัญหาเพียงด้านเดียว แต่ปัญหาต่างๆ มักทับซ้อนและเสริมความรุนแรงซึ่งกันและกัน ตัวอย่างเช่น คุณแม่วัยใสอาจไม่ได้เผชิญเพียงปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยเรียน แต่ยังอาจเกี่ยวพันกับปัญหาความยากจน การขาดโอกาสทางการศึกษา การถูกตีตราทางสังคม หรือการเข้าไม่ถึงบริการสุขภาพที่เหมาะสม หรือกรณีคนต่างชาติที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการค้าบริการทางเพศ อาจเผชิญปัญหาทั้งด้านกฎหมาย สุขภาพ สิทธิมนุษยชน และการถูกเลือกปฏิบัติ หรือผู้ที่มีความพิการซ้ำซ้อนและอาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทห่างไกล อาจประสบปัญหาทั้งการเข้าถึงบริการพื้นฐาน การประกอบอาชีพ และการมีส่วนร่วมทางสังคม ปัญหาที่ทับซ้อนเหล่านี้ทำให้การเข้าถึงความช่วยเหลือหรือบริการจากภาครัฐเป็นไปได้ยาก เนื่องจากผู้ประสบปัญหามักไม่กล้าแสดงตัวหรือขอความช่วยเหลือ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องอาศัยภาคส่วนอื่นๆ เช่น องค์กรภาคประชาสังคม ที่มีความยืดหยุ่นและสามารถเข้าถึงกลุ่มคนเหล่านี้ได้ดีกว่า เพื่อช่วยบรรเทาปัญหา
- เป็นปัญหาที่เชื่อมโยงกัน (Interconnected): การพยายามแก้ไขปัญหาหนึ่งอาจส่งผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบต่อปัญหาอื่นๆ อย่างไม่คาดคิด เกิดเป็นลักษณะของ “การได้อย่างเสียอย่าง” (trade-offs) ที่ต้องมีการบริหารจัดการอย่างรอบคอบ ตัวอย่างเช่น การส่งเสริมให้เกษตรกรเปลี่ยนไปทำเกษตรกรรมยั่งยืนอาจเป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว แต่ในระยะสั้นอาจส่งผลกระทบต่อรายได้และภาระหนี้สินของเกษตรกร หรืออาจส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหารโดยรวมหากผลผลิตยังไม่เพียงพอ หรือการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (energy transition) จากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาด แม้จะเป็นผลดีต่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อแรงงานในอุตสาหกรรมเดิม บริษัทพลังงาน และโครงสร้างเศรษฐกิจของเมืองที่พึ่งพาอุตสาหกรรมเหล่านั้น ความท้าทายจึงอยู่ที่การหาจุดสมดุลและแนวทางการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย
- เป็นปัญหาที่ขึ้นอยู่กับบริบทเฉพาะ (Context-specific): แม้ว่าจะมีองค์ความรู้หรือเทคโนโลยีที่สามารถแก้ไขปัญหาบางอย่างได้สำเร็จในพื้นที่หนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะนำไปใช้ได้ผลในพื้นที่อื่นเสมอไป เนื่องจากแต่ละพื้นที่มีบริบททางภูมิศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการเมืองที่เป็นเอกลักษณ์ ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีการจัดการเศษวัสดุทางการเกษตรเพื่อลดการเผาในที่โล่ง เช่น ตอซังข้าวหรือใบอ้อย อาจใช้ได้ผลดีในพื้นที่ราบลุ่ม แต่เมื่อนำไปใช้ในพื้นที่สูงชันหรือห่างไกล อาจไม่สามารถใช้งานได้จริงเนื่องจากข้อจำกัดด้านภูมิประเทศ หรือค่าใช้จ่ายในการขนส่งที่สูงเกินไป ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการวิจัยและพัฒนาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมกับบริบทเฉพาะของแต่ละพื้นที่และสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้งานจริง
จากลักษณะความซับซ้อนทั้ง 4 ประการนี้ ชี้ให้เห็นว่าการแก้ไขปัญหา SDGs จำเป็นต้องอาศัยงานวิจัยที่เป็นมากกว่าเพียงศาสตร์เดียว (single-discipline research) แต่ต้องเป็นงานวิจัยที่สามารถบูรณาการความรู้จากหลากหลายสาขาวิชา (interdisciplinary หรือ transdisciplinary research) เพื่อให้สามารถทำความเข้าใจปัญหาได้อย่างรอบด้านและรอบคอบ เสมือนการทำความเข้าใจเครือข่ายใยแมงมุมที่สลับซับซ้อน ซึ่งทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาควิชาการ ต่างก็ต้องเข้ามามีส่วนร่วมและทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด
มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยจึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งยวด ไม่เพียงแต่ในฐานะผู้สร้างองค์ความรู้ใหม่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเป็นผู้ประสานงานและอำนวยความสะดวกให้เกิดการทำงานร่วมกันดังกล่าว
รายงาน Global Sustainable Development Report ของสหประชาชาติ ได้สรุปบทบาทสำคัญของวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (Science, Research, and Innovation: SRI) ในการขับเคลื่อน SDGs ไว้ 3 ประการหลัก คือ
- ทำให้ความรู้ที่มีอยู่สามารถเข้าถึงและนำไปใช้ได้ (Make existing knowledge accessible and usable): ความท้าทายสำคัญคือทำอย่างไรให้องค์ความรู้ทางวิชาการ งานวิจัย และข้อมูลต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย สามารถถูกเข้าถึงและนำไปใช้ประโยชน์โดยคนทั่วไป ผู้กำหนดนโยบาย หรือผู้ปฏิบัติงานในภาคส่วนต่างๆ ได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลที่เปิดกว้าง การส่งเสริมการรู้เท่าทันข้อมูล (data literacy) และการสร้างขีดความสามารถ (capacity building) ให้กับผู้ใช้งาน ซึ่งมหาวิทยาลัยมีบทบาทนำในเรื่องนี้
- สนับสนุนงานวิจัยที่มุ่งเน้นภารกิจ (Support Mission-Oriented Research): คือการส่งเสริมงานวิจัยที่มีเป้าหมายหรือภารกิจที่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำ “วาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030” มาเป็นภารกิจหลักในการขับเคลื่อน นอกจากนี้ ยังรวมถึงการเสนอและทดลองแนวทางการวิจัยรูปแบบใหม่ๆ ที่เหมาะสมกับความซับซ้อนของปัญหา เช่น งานวิจัยข้ามศาสตร์ (transdisciplinary research) หรือศาสตร์แห่งความยั่งยืน (sustainability science)
- อำนวยความสะดวกในการไหลเวียนของความรู้ข้ามภาคส่วน (Facilitate the flow of knowledge across sectors): หรือที่เรียกว่า ส่วนต่อประสานระหว่างวิทยาศาสตร์-นโยบาย-สังคม (Science-Policy-Society Interface) ซึ่งหมายถึงการสร้างกลไกและพื้นที่ให้เกิดการพูดคุย แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และทำงานร่วมกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญจากภาควิทยาศาสตร์ (นักวิชาการ/นักวิจัย) ผู้กำหนดนโยบายจากภาครัฐ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากภาคสังคมต่างๆ เพื่อให้เกิดการนำองค์ความรู้ไปใช้ในการตัดสินใจเชิงนโยบายและการปฏิบัติงานจริงได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าวิทยาศาสตร์ งานวิจัย และนวัตกรรม ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือเสริม แต่เป็นองค์ประกอบที่ “จำเป็น” และเป็นหัวใจสำคัญในการทำความเข้าใจปัญหาที่ซับซ้อน การค้นหาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมและยั่งยืน และการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในที่สุด การปฏิรูปแนวทางการทำวิจัยให้สอดรับกับความท้าทายเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
03 – งานวิจัยที่มุ่งเน้น SDGs
(SDG-Oriented Research) คืออะไร?
เมื่อเราเข้าใจถึงความซับซ้อนของปัญหาและความจำเป็นในการใช้วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมในการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) แล้ว คำถามสำคัญต่อมาคือ งานวิจัยที่สามารถตอบโจทย์ความท้าทายเหล่านี้ได้อย่างแท้จริงนั้นมีลักษณะอย่างไร หรือที่เรียกว่า “งานวิจัยที่มุ่งเน้น SDGs (SDG-Oriented Research)” นั้นคืออะไรกันแน่
| นิยามและความหมายของ SDG Research
โดยทั่วไป SDG-Oriented Research หรือ SDG Research ในบริบทนี้ หมายถึง งานวิชาการ งานวิทยาศาสตร์ หรือการศึกษาและสืบค้นใดๆ ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำความเข้าใจ วิเคราะห์ และแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาและความท้าทายต่างๆ ตามที่ระบุไว้ในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 17 ข้อของสหประชาชาติ และที่สำคัญคือ เป้าประสงค์ย่อย (targets) อีก 169 ข้อ ซึ่งเป็นรายละเอียดสำคัญของแต่ละเป้าหมาย งานวิจัยประเภทนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการเป็นรากฐานทางวิทยาศาสตร์ที่จำเป็นสำหรับการพัฒนานโยบายที่อิงหลักฐาน (evidence-based policies) การสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ และการสร้างผลกระทบที่เกิดขึ้นได้จริงในโลกแห่งความเป็นจริง (real-world impact)
อาจมีการแยกแยะความหมายเล็กน้อยระหว่างคำว่า “SDG-Oriented Research” ซึ่งอาจใช้ในความหมายกว้างๆ หมายถึงงานวิจัยใด ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับประเด็นใดประเด็นหนึ่งใน SDGs กับคำว่า “SDG Research” ที่อาจเจาะจงถึงงานวิจัยที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อน SDGs โดยตรง เช่น การพัฒนาระบบตัวชี้วัด การวิเคราะห์นโยบายเพื่อ SDGs หรือการประเมินผลกระทบของโครงการต่างๆ ที่มีต่อ SDGs อย่างไรก็ตาม ในการอภิปรายนี้ เราจะใช้ทั้งสองคำในความหมายที่ใกล้เคียงกัน คือ งานวิจัยที่ตั้งใจจะสร้างองค์ความรู้เพื่อสนับสนุนวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน
| ประเภทของงานวิจัย SDG ตามกรอบของสหประชาชาติ
รายงาน Global Sustainable Development Report ของสหประชาชาติ ได้นำเสนอแนวทางการแบ่งประเภทงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ SDGs โดยเน้นย้ำว่าปัจจัยนำเข้าที่สำคัญ (prerequisite) ของงานวิจัยเหล่านี้คือ ความเข้มแข็งทางวิทยาศาสตร์ (scientific rigor) ซึ่งหมายถึงความโปร่งใส (transparency) ความสามารถในการทำซ้ำได้ (reproducibility) และความสามารถในการพิสูจน์ว่าเป็นเท็จได้ (falsifiability) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ (output) ที่เป็นองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อวาระปี 2030 โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่:
- งานวิจัยที่อ้างอิงถึงวาระปี 2030 (Research referring to the 2030 agenda): เป็นงานวิจัยที่มุ่งศึกษาผลกระทบของพลวัตหรือการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสภาวะทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ธรรมชาติ หรือความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ต่อการบรรลุเป้าหมาย SDGs ต่างๆ ตัวอย่างเช่น งานวิจัยที่ศึกษาว่าความเหลื่อมล้ำภายในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อการบรรลุเป้าหมาย SDG 10 (ลดความเหลื่อมล้ำ) อย่างไร หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมาย SDG 13 (การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) และข้อตกลงปารีสอย่างไร
- งานวิจัยที่ชี้นำสู่วาระปี 2030 (Research guided to the 2030 agenda): เป็นงานวิจัยที่มีลักษณะมุ่งเน้นภารกิจ (mission-oriented) โดยมีเป้าหมายเพื่อชี้นำหรือค้นหาแนวทาง นโยบาย หรือนวัตกรรม ที่จะช่วยให้สามารถบรรลุเป้าหมาย SDGs ที่ต้องการได้ ตัวอย่างเช่น หากต้องการลดความเหลื่อมล้ำ (SDG 10) งานวิจัยประเภทนี้อาจศึกษาว่าควรมีรูปแบบเศรษฐกิจแบบใดจึงจะมีความครอบคลุมและเป็นธรรม หรือหากต้องการบรรลุเป้าหมาย SDG 13 งานวิจัยอาจมุ่งเน้นไปที่การพัฒนานโยบายการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (energy transition policy) ที่เหมาะสม หรือการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ (SDG 15)
- งานวิจัยที่ออกแบบและดำเนินการตามวาระปี 2030 (Research designed and conducted in accordance with the 2030 Agenda): เป็นงานวิจัยที่ซับซ้อนขึ้นและมีลักษณะมุ่งเน้นภารกิจเช่นกัน แต่เน้นกระบวนการ ร่วมออกแบบ (co-design) และร่วมผลิตความรู้ (co-production) กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนและยุ่งยาก (wicked problems) ซึ่งมักไม่มีคำตอบที่ถูกผิดชัดเจนเพียงหนึ่งเดียว ตัวอย่างเช่น การวิจัยเพื่อหาแนวทางการดำเนินนโยบายการกระจายรายได้ใหม่ (income redistribution policies) ที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย หรือการวิจัยว่าจะทำอย่างไรให้การเปลี่ยนผ่านพลังงานเป็นไปอย่างยุติธรรมและครอบคลุม (just and inclusive energy transition) โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หรือการศึกษาว่าการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติจะต้องแลกมาด้วยการดำรงชีวิตของคนในท้องถิ่นหรือไม่ และจะหาทางออกร่วมกันได้อย่างไร
| กรอบแนวคิด (Frameworks) สำหรับการออกแบบ SDG Research
เพื่อให้เห็นภาพการออกแบบงานวิจัยที่มุ่งเน้น SDGs ชัดเจนขึ้น มีกรอบแนวคิดที่น่าสนใจสองประการคือ:
- Vision-Oriented Research (งานวิจัยที่มุ่งเน้นวิสัยทัศน์): กรอบแนวคิดนี้ (อ้างอิงจาก UK Research and Innovation – UKRI และ National Research Foundation of England) เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจ ประเด็นปัญหาของ SDGs และความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ (Grand Challenges) ในระดับโลกหรือระดับชาติ เช่น 6 ประเด็นท้าทายของประเทศไทยที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้) จากนั้น ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้จะถูกแตกย่อยออกเป็น ภารกิจย่อย (sub-missions) ที่ชัดเจนขึ้น และในแต่ละภารกิจย่อย ก็จะมีโครงการวิจัยย่อย (sub-projects) จำนวนมากเข้ามาดำเนินการเพื่อบรรลุภารกิจนั้นๆ ซึ่งโครงการวิจัยย่อยเหล่านี้มักจะต้องอาศัยความรู้และวิธีการจากหลากหลายสาขาวิชา
- ตัวอย่าง: หาก Grand Challenge คือ “สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของพลเมือง (Citizen Health and Wellbeing)” หนึ่งในพันธกิจ (Mission) อาจเป็น “การลดภาระจากภาวะสมองเสื่อม (decreasing the burden of dementia) ภายในปี 2030” ซึ่งจะนำไปสู่ Sub-projects ที่หลากหลาย เช่น การพัฒนานวัตกรรม AI เพื่อสนับสนุนผู้ป่วย การศึกษาปัจจัยเสี่ยง การพัฒนาการรักษาแบบเฉพาะบุคคล หรือการกำหนดมาตรฐานทางสังคมและแนวทางการดูแลผู้ป่วย ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคการแพทย์ สังคม การออกแบบ เภสัชกรรม และพฤติกรรมศาสตร์
- ในการอบรมหรือการทำงานจริง คำว่า “Sustainability Challenge” อาจเทียบได้กับ Grand Challenge, “Strategic Direction” อาจหมายถึง Vision หรือ Mission, และ “Research Project” ก็คือ Sub-projects นั่นเอง
- Impact Pathway (เส้นทางสู่ผลกระทบ): เป็นแนวคิดการออกแบบงานวิจัยที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในระบบวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.) รวมถึงในหน่วยงานให้ทุนวิจัยอย่าง บพข. (PMUC) โดยเน้นการเริ่มต้นจากผลกระทบ (Impact) ที่ต้องการเห็นเป็นตัวตั้ง
- กระบวนการคิดจะเริ่มจาก Impact สูงสุดที่ต้องการให้เกิดขึ้น (ซึ่งในบริบทของ SDGs ก็คือการแก้ไขหรือบรรเทาปัญหาตามเป้าหมาย SDGs)
- จากนั้นจึงย้อนกลับมาพิจารณาว่า โครงการวิจัยจะต้องสร้าง ผลลัพธ์ (Outcome) อะไรบ้างเพื่อให้สามารถนำไปสู่ Impact ดังกล่าวได้ (Outcome คือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริง เช่น พฤติกรรมที่เปลี่ยนไป นโยบายที่ถูกนำไปใช้ หรือสภาวะแวดล้อมที่ดีขึ้น)
- เมื่อกำหนด Outcome ได้แล้ว จึงออกแบบ ผลผลิต (Output) ที่โครงการจะต้องส่งมอบ (เช่น รายงานวิจัย ต้นแบบนวัตกรรม ชุดความรู้ หลักสูตรฝึกอบรม)
- และสุดท้ายจึงพิจารณาถึง ปัจจัยนำเข้า (Input) ที่จำเป็น (เช่น งบประมาณ บุคลากร เวลา เครื่องมือ หรือหน่วยงานร่วมดำเนินการ) การคิดย้อนกลับ (backward thinking) เช่นนี้จะช่วยให้การออกแบบงานวิจัยมีทิศทางที่ชัดเจนและมุ่งเน้นผลลัพธ์ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้จริง
- การเชื่อมโยงกับ Vision-Oriented Research: Grand Challenge อาจเปรียบได้กับ Ultimate Impact, Mission คือ Outcome, และ Research Project ต่างๆ ก็คือ Output และ Input ที่นำไปสู่ Outcome นั้น
| ลักษณะสำคัญ 7 ประการของ SDG Research
จากการสังเคราะห์งานวิจัยและเอกสารต่างๆ สามารถสรุปลักษณะสำคัญของงานวิจัยที่มุ่งเน้น SDGs (SDG Research) ได้ประมาณ 7 ประการ ดังนี้
- มีทิศทางและมุ่งการเปลี่ยนแปลง (Directionality and Transformative Aim): งานวิจัยมีภารกิจ วัตถุประสงค์ และทิศทางที่ชัดเจน มุ่งเป้าไปที่การบรรลุ SDGs ที่เฉพาะเจาะจงหรือสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอย่างแท้จริง เป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จาก “งานวิจัยเพื่อให้ข้อมูล (research to inform)” ไปสู่ “งานวิจัยเพื่อการเปลี่ยนแปลง (research to transform)” แนวทางแก้ไขที่นำเสนอมักมุ่งเน้นผลกระทบระยะยาวเพื่อความยั่งยืน และอาจต้องพิจารณาถึง “การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม (just transition)” เพื่อไม่ให้ใครได้รับผลกระทบเชิงลบมากเกินไป
- บูรณาการแบบสหวิทยาการและพหุความรู้ (Interdisciplinary and Multi-knowledge Integration): เนื่องจากปัญหา SDGs มีความซับซ้อนและหลายมิติ งานวิจัยจึงมักมีลักษณะสหวิทยาการ (interdisciplinary) หรือข้ามภาคส่วน (cross-sectoral) ต้องการการบูรณาการความรู้ที่หลากหลาย ทั้งจากวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ รวมถึงความรู้จากภาคปฏิบัติ
- เข้าใจความเชื่อมโยง (Understanding Interconnections – Synergies and Trade-offs): งานวิจัยต้องพยายามทำความเข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างประเด็นที่กำลังศึกษา กับประเด็น SDGs อื่นๆ ต้องมองเห็นว่าแนวทางหรือวิธีการที่กำลังดำเนินการนั้นส่งผลกระทบเชิงบวก (synergies) และเชิงลบ (trade-offs) ต่อประเด็นอื่นๆ อย่างไร และพยายามเสนอแนวทางแก้ไขที่จะช่วยลดผลกระทบเชิงลบและเพิ่มผลกระทบเชิงบวกให้ได้มากที่สุด
- คำนึงถึงบริบทท้องถิ่นและความครอบคลุม (Local Context and Inclusivity): การวิจัยต้องให้ความสำคัญกับบริบทเฉพาะของแต่ละพื้นที่ (local context) รวมถึงความอ่อนไหวทางวัฒนธรรม การนำ SDGs ไปปรับใช้ในระดับท้องถิ่น (SDG localization) ช่วยแปลเป้าหมายระดับโลกให้เป็นการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมและสอดคล้องกับความท้าทายและลำดับความสำคัญของท้องถิ่นนั้นๆ นอกจากนี้ งานวิจัยต้องสอดคล้องกับหลักการ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (leave no one behind)” โดยออกแบบแนวทางที่ครอบคลุมทางสังคมและคำนึงถึงกลุ่มเปราะบางเป็นพิเศษ
- การมีส่วนร่วมและการทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder Engagement and Collaboration): จำเป็นต้องทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholders) ที่หลากหลายกลุ่ม ตั้งแต่ภาครัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ภาคธุรกิจ ภาควิชาการ ไปจนถึงชุมชนท้องถิ่น การตัดสินใจเชิงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย SDGs ควรอยู่บนพื้นฐานของหลักฐานที่ได้มาจากการร่วมออกแบบและร่วมผลิต (co-design and co-production) กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสาธารณชนในวงกว้าง และสร้างความเป็นหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ที่ยั่งยืนเพื่อจัดการกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่
- ผลลัพธ์ที่วัดได้และความเกี่ยวข้องเชิงนโยบาย (Measurable Outcomes and Policy Relevance): งานวิจัยควรทำหน้าที่เป็นรากฐานทางวิทยาศาสตร์สำหรับนโยบายที่อิงหลักฐาน นวัตกรรม และผลกระทบในโลกแห่งความเป็นจริง จึงควรมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน มุ่งเป้า วัดผลได้ และมีกรอบเวลาที่กำหนด เพื่อให้สามารถตัดสินความสำเร็จของภารกิจได้ ผลการวิจัยควรมีศักยภาพในการชี้นำหรือมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายในระดับต่างๆ และต้องมีการสื่อสารผลการวิจัยอย่างมีประสิทธิภาพไปยังกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย
- นวัตกรรมและการใช้ประโยชน์จากข้อมูล (Innovation and Data Utilization): ส่งเสริมการสำรวจและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและวิธีการที่เป็นนวัตกรรมที่สามารถมีส่วนช่วยในการบรรลุ SDGs เช่น แนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน หรือเครื่องมือดิจิทัลต่างๆ นอกจากนี้ ความคุ้นเคยกับการรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ และเทคนิคการติดตามที่เกี่ยวข้องกับ SDGs ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการติดตามความคืบหน้าและการตัดสินใจอย่างมีข้อมูล
แม้ว่างานวิจัยหนึ่งๆ อาจไม่จำเป็นต้องมีครบทั้ง 7 ลักษณะนี้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่การมีทิศทางที่ชัดเจนเพื่อการเปลี่ยนแปลง (ข้อ 1) การบูรณาการความรู้จากหลายศาสตร์ (ข้อ 2) และการเข้าใจความเชื่อมโยงของปัญหา (ข้อ 3) ถือเป็นหัวใจสำคัญ นอกจากนี้ การคำนึงถึงบริบทท้องถิ่นและความครอบคลุม (ข้อ 4) และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (ข้อ 5) ก็เป็นปัจจัยที่เพิ่มโอกาสความสำเร็จและผลกระทบของงานวิจัยอย่างมาก
04 – งานวิจัยข้ามศาสตร์ (Transdisciplinary Research)
นอกเหนือจากแนวคิดงานวิจัยที่มุ่งเน้นเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG-Oriented Research) ที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังมีอีกหนึ่งแนวทางการวิจัยที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวางและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนของ SDGs นั่นก็คือ “งานวิจัยข้ามศาสตร์” (Transdisciplinary Research – TDR) ซึ่งเป็นแนวทางที่ก้าวไปอีกขั้นของการบูรณาการความรู้และการทำงานร่วมกัน
| ทำความเข้าใจภูมิทัศน์ของแนวทางการวิจัย
เพื่อให้เข้าใจแนวคิดงานวิจัยข้ามศาสตร์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น การพิจารณาความแตกต่างระหว่างแนวทางการวิจัยต่าง ๆ ตามที่มหาวิทยาลัย Utrecht ในประเทศเนเธอร์แลนด์ได้นำเสนอไว้ ซึ่งช่วยให้เห็นภาพได้เป็นอย่างชัดเจน โดยสามารถอธิบายได้ดังนี้
- งานวิจัยตามสาขาวิชา (Disciplinary Research): เป็นแนวทางดั้งเดิมที่ปัญหา การวิจัย และองค์ความรู้จะถูกจำกัดอยู่ภายในขอบเขตของสาขาวิชาใดสาขาวิชาหนึ่ง นักวิจัยแต่ละคนจะทำงานวิจัยของตนเองโดยมุ่งเน้นความลึกซึ้งในศาสตร์นั้น ๆ
- งานวิจัยแบบพหุวิทยาการ (Multidisciplinary Research): แม้จะมีหัวข้อหรือประเด็นปัญหาร่วมกัน แต่ผู้เชี่ยวชาญจากแต่ละสาขาวิชายังคงทำงานในส่วนของตนเอง จากนั้นจึงนำผลลัพธ์มารวมกันในตอนท้าย ตัวอย่างเช่น ในการศึกษาเพื่อปรับปรุงการศึกษาไทย คณะศึกษาศาสตร์อาจศึกษาด้านการสอน คณะเศรษฐศาสตร์ศึกษาด้านการบริหารงบประมาณ และคณะรัฐศาสตร์ศึกษาด้านการกระจายอำนาจ แนวทางนี้อาจมีความใกล้เคียงกับ Vision-Oriented Research และสามารถเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับงานวิจัย SDGs ได้
- งานวิจัยแบบมีส่วนร่วม (Participatory Research): แนวทางนี้เป็นการดึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหรือผู้ปฏิบัติงานที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงวิชาการ (non-academic participants) เข้ามาร่วมในกระบวนการวิจัย อาจเป็นการร่วมกันกำหนดปัญหา หรือนักวิชาการนำปัญหาไปให้ผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ร่วมให้ข้อมูล หรือผู้ในพื้นที่ประสบปัญหาและเชิญนักวิชาการเข้าไปช่วยหาทางออก งานวิจัยประเภทนี้สามารถตอบโจทย์ SDGs ได้ดี โดยเฉพาะในมิติของการทำงานร่วมกันกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้อย่างเข้มข้น
- งานวิจัยแบบสหวิทยาการ (Interdisciplinary Research): เป็นแนวทางที่ เริ่มมีการ “ข้ามเส้น” ระหว่างสาขาวิชาต่าง ๆ อย่างแท้จริง โดยมีการบูรณาการองค์ความรู้ แนวคิด และวิธีการจากหลายศาสตร์เข้าด้วยกันเพื่อสร้างความเข้าใจใหม่หรือแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน ตัวอย่างเช่น เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม (Behavioral Economics) ที่เกิดจากการบูรณาการองค์ความรู้ระหว่างนักเศรษฐศาสตร์และนักจิตวิทยา เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมการตัดสินใจทางเศรษฐกิจของมนุษย์ ซึ่งนำไปสู่การเกิดองค์ความรู้และศาสตร์แขนงใหม่
- งานวิจัยข้ามศาสตร์ (Transdisciplinary Research – TDR): เป็นแนวทางที่ก้าวข้ามทั้งขอบเขตของสาขาวิชาต่าง ๆ และขอบเขตระหว่างภาคส่วน (sectoral boundaries) หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็น “งานวิจัยที่ข้ามประเภทของความรู้” โดยมีเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนในโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งการจะบรรลุเป้าหมายนั้นได้ จำเป็นต้องอาศัยการบูรณาการทั้งองค์ความรู้เชิงวิชาการ (academic knowledge) และองค์ความรู้เชิงปฏิบัติ (practical knowledge หรือ societal knowledge) จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ เพื่อร่วมกันแสวงหาและสร้างสรรค์ทางออก
| แนวทางการทำวิจัยข้ามศาสตร์ของ Bergmann
จากการบรรยายในงาน Summer School ที่จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยในเวียดนาม ได้มีการนำเสนอแนวทางการทำวิจัยข้ามศาสตร์ของ Bergmann ที่ได้ระบุว่างานวิจัยข้ามศาสตร์ คือการสำรวจและแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาสังคม โดยให้ความสำคัญกับตัวปัญหาและผู้มีบทบาททางสังคม (social actors) ที่เกี่ยวข้องเป็นศูนย์กลางของการวิจัย ดังนั้น งานวิจัยข้ามศาสตร์จึงมีลักษณะของงานวิจัยที่มุ่งเน้นภารกิจ (mission-oriented) อยู่ในตัว
จุดเด่นที่ทำให้งานวิจัยข้ามศาสตร์แตกต่างจากงานวิจัยแบบมีส่วนร่วมทั่วไป คือต้องตอบโจทย์ปัญหาสังคม (Practical Path) และในขณะเดียวกันงานวิจัยข้ามศาสตร์ยังต้องช่วยขยายขอบเขตองค์ความรู้ทางวิชาการในลักษณะสหวิทยาการ (Scientific Research Path) ด้วย กล่าวคือ การทำวิจัยลักษณะนี้ต้องดำเนินการไปบน “สองขา” ดังนี้
- เส้นทางปฏิบัติ (Practical Path – Real-World Focus)
- ต้องมีผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์จากภาคปฏิบัติและผู้มีบทบาททางสังคมที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างแข็งขัน
- ปัญหาในงานวิจัยควรได้รับการกำหนด ขยายความ และนำเสนอโดยผู้มีบทบาททางสังคมเหล่านั้น
- เป้าหมายหลักคือการสร้างองค์ความรู้ที่สามารถนำไปใช้แก้ปัญหาในทางปฏิบัติได้จริง
- ทีมวิจัยมักประกอบด้วยทั้งนักวิชาการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากภาคปฏิบัติ
- เมื่อได้องค์ความรู้ใหม่ อาจนำไปสู่การปรับเปลี่ยนแนวปฏิบัติทางสังคม และอาจก่อให้เกิดคำถามหรือปัญหาใหม่ๆ ที่ต้องกลับมาค้นหาคำตอบร่วมกันอีกเป็นวัฏจักร (ซึ่งเป็นลักษณะที่พบได้บ่อยในงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น)
- เส้นทางการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Research Path – Science-Focused Approach)
- ปัญหาการวิจัยอาจเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการประเด็นทางสังคมนั้น ๆ หรือเกี่ยวข้องกับภาคส่วนที่กำลังศึกษา
- ผลลัพธ์สำคัญสำหรับนักวิจัย ในเส้นทางนี้คือ จะต้องนำไปสู่การปรับปรุงระเบียบวิธีวิจัย (research methods) การสร้างผลงานทางวิชาการใหม่ๆ หรือการตั้งคำถามวิจัยและสร้างองค์ความรู้ทางวิชาการใหม่ๆ ที่มีความลึกซึ้งยิ่งขึ้น
- องค์ความรู้ใหม่ทางวิชาการนี้ก็จะวนกลับไปสู่การตั้งคำถามวิจัยใหม่ที่อาจนำไปประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติได้อีก
ดังนั้น งานวิจัยข้ามศาสตร์ที่สมบูรณ์จะต้องสามารถสร้างผลลัพธ์ได้ทั้งในมิติของการแก้ปัญหาสังคมที่เป็นรูปธรรม และในมิติของการสร้างความก้าวหน้าทางวิชาการไปพร้อม ๆ กัน
| การเปิดรับองค์ความรู้ที่หลากหลาย
ในการทำงานวิจัยเพื่อความยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานวิจัยข้ามศาสตร์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมี “การเปิดใจให้กว้าง” (open mind)และอาจต้องนิยามคำว่า “ความรู้” (knowledge)ให้กว้างกว่าเพียงแค่ “ความรู้ทางวิทยาศาสตร์” (scientific knowledge) ที่ผ่านกระบวนการพิสูจน์และตีพิมพ์ในวารสารวิชาการเท่านั้น แต่ควรมอง “ความรู้” ในฐานะ “ความเชื่อที่สมเหตุสมผล” (a justifiable belief) ซึ่งอาจมาจากแหล่งต่าง ๆ ได้แก่
- ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Knowledge): เป็นความเชื่อที่สมเหตุสมผลโดยผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การทดลอง และการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (peer review)
- ภูมิปัญญาท้องถิ่น (Local Knowledge): เป็นองค์ความรู้ที่สั่งสมมาจากประสบการณ์ชีวิต การปรับตัวเข้ากับระบบนิเวศในท้องถิ่น และการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น แม้ไม่ได้ผ่านกระบวนการวิจัยที่เป็นทางการ แต่ก็เป็นความเชื่อที่สมเหตุสมผลและได้รับการยืนยันผ่านการปฏิบัติจริงมาอย่างยาวนาน
- ความรู้เชิงปฏิบัติ (Practical Knowledge): เกิดจากประสบการณ์ตรงในการทำงานหรือการแก้ไขปัญหา การลองผิดลองถูก จนได้ผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอและเป็นที่ยอมรับในแวดวงนั้น ๆ แม้อาจไม่ได้มาจากตำราหรือห้องเรียน
- ความรู้ทางการเมือง (Political Knowledge): เป็นความรู้ที่จำเป็นสำหรับการขับเคลื่อนนโยบายหรือการตัดสินใจในระดับต่าง ๆ ซึ่งอาจมาจากประสบการณ์ของนักการเมือง ผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจตัดสินใจ แม้บางครั้งอาจไม่ได้อ้างอิงงานวิจัยโดยตรง
ดังนั้น การเปิดใจยอมรับและเห็นคุณค่าของความรู้ที่หลากหลายเหล่านี้ จะช่วยให้การวิเคราะห์ปัญหาและการแสวงหาทางออกในการพัฒนาเป็นไปได้อย่างรอบด้านและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
| กรณีศึกษา: การจัดการน้ำที่ตำบลแพรกหนามแดง (งานวิจัยฐานชุมชนในฐานะงานวิจัยข้ามศาสตร์)
ตัวอย่างที่ชัดเจนของงานวิจัยข้ามศาสตร์ในประเทศไทย คือโครงการวิจัยการจัดการน้ำที่ตำบลแพรกหนามแดง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งเป็นโครงการ การวิจัยฐานชุมชน (Community-Based Research – CBR) หรือที่อาจเรียกว่า “งานวิจัยบ้าน ๆ” ที่ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นฐาน โดยมีรายละเอียดการดำเนินงาน ดังนี้
- เหตุผลที่จัดเป็นงานวิจัยข้ามศาสตร์: กระบวนการวิจัยทั้งหมด ตั้งแต่การตั้งคำถามวิจัย การดำเนินการวิจัย ไปจนถึงการหาทางออก ชุมชน นักวิชาการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการกำหนดปัญหาร่วมกันและดำเนินการวิจัยร่วมกัน โดยนักวิจัยทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวก (facilitator)
- บริบทปัญหา: ตำบลแพรกหนามแดงเดิมเป็นระบบนิเวศ จากสาม แหล่งน้ำ ได้แก่ น้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม แต่ผลกระทบจากการสร้างเขื่อนศรีนครินทร์ (พ.ศ. 2521-2524) ทำให้น้ำจืดไม่เพียงพอ เกิดปัญหาน้ำเค็มรุกล้ำเข้าสู่พื้นที่น้ำจืด ซึ่งการสร้างประตูระบายน้ำเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวกลับทำให้ระบบนิเวศกลายเป็นน้ำสองระบบ คือ น้ำจืดและน้ำเค็ม ส่งผลให้ผู้ที่พึ่งพาน้ำกร่อยได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ ประตูระบายน้ำยังทำให้เกิดการสะสมของตะกอนและสารพิษจากการเกษตร เมื่อฝนตกน้ำท่วมนาข้าว ชาวนาต้องการเปิดประตูระบายน้ำ แต่ตะกอนที่ไหลออกไปกลับสร้างความเสียหายให้กับการเพาะเลี้ยงกุ้งและปูของชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่ง ก่อให้เกิดความขัดแย้งในชุมชนยาวนานกว่า 20 ปี จนชุมชนแตกแยก
- กระบวนการวิจัย (พ.ศ. 2540-2545): คุณปัญญา ตกทอง ผู้นำท้องถิ่น ได้ขอความช่วยเหลือและใช้เวลากว่า 1 ปีในการประสานให้กลุ่มผู้ขัดแย้งทั้งสองฝ่ายมาร่วมกันออกแบบโครงการวิจัย ชาวบ้านเป็นผู้นำในกระบวนการวิจัยและเขียนรายงานด้วยตนเอง โดยมีนักวิจัยจากโครงการ CBR คอยอำนวยความสะดวก
- ทางออกและนวัตกรรม: เกิดเป็นต้นแบบประตูระบายน้ำแบบใหม่ ที่ประยุกต์ใช้ทั้งความรู้ด้านวิศวกรรมชลศาสตร์ ในการออกแบบประตู และความรู้เชิงปฏิบัติจากการทำฟาร์มกุ้ง ในการพัฒนาวิธีการระบายน้ำโดยไม่ให้กุ้งไหลออก รวมถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น อย่างเทคนิคบานพับหน้าต่างบ้านในแพรกหนามแดง ทำให้สามารถจัดการน้ำได้สอดคล้องกับความต้องการของทุกฝ่าย การนำนวัตกรรมนี้ไปใช้จริงยังต้องอาศัย “ความรู้ทางการเมือง” ในการผลักดันให้เกิดประตูต้นแบบและขยายผลไปยังประตูอื่น ๆ
- บทเรียนสำคัญ: กรณีศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนนั้น ไม่สามารถทำได้เพียงแค่การ “ถ่ายทอด” งานวิจัยจากนักวิชาการไปยังผู้ใช้ตามแบบจำลองเดิม ๆ หรือ เป็นเพียงงานวิจัยที่นักวิจัยกำหนดปัญหา ทำวิจัย ผลิตความรู้ แล้วส่งต่อ ซึ่งมักจบลงด้วยงานวิจัยที่ถูกเก็บไว้บนหิ้ง เพราะผู้ใช้อาจไม่เข้าใจ ไม่เห็นความเกี่ยวข้อง หรือไม่ต้องการนำไปใช้โดยตรง
| การผลิตความรู้ร่วมกัน (Knowledge Co-production): หัวใจของงานวิจัยข้ามศาสตร์
แนวคิดเรื่อง “การผลิตความรู้ร่วมกัน (Knowledge Co-production)” จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง และสอดคล้องกับแนวทางการทำงานของระบบ ววน. (วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม) ในปัจจุบันที่เน้นให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการวิจัยมากขึ้น ซึ่งนิยาม คือ “การผลิตความรู้ร่วมกันมีความโดดเด่นตรงที่มุ่งเน้นการอำนวยความสะดวกในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อพัฒนาความเข้าใจแบบบูรณาการหรือแบบพลิกโฉมเกี่ยวกับปัญหาความยั่งยืน” (Stakeholders must participate in understanding the problem together, from all angles) เป็น “กระบวนการสร้างความรู้ร่วมกันและมีพลวัตที่หยั่งรากความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์อย่างเต็มที่ในบริบททางสังคม วัฒนธรรม และการเมืองที่เกี่ยวข้อง” (Knowledge creation should be grounded in reality and align with relevant social, cultural, and political factors) โดยมีเป้าหมายเพื่อ “สร้างความรู้ที่ใช้ประโยชน์ได้ซึ่งมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ (Create usable knowledge that influences decision making)”
| ขั้นตอนและข้อพิจารณาในการดำเนินงานวิจัยข้ามศาสตร์
การดำเนินงานวิจัยข้ามศาสตร์ให้ประสบความสำเร็จนั้นมีข้อควรพิจารณาและขั้นตอนสำคัญดังนี้
- การออกแบบการวิจัย (Designing the Research):
- ขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายต้องมีส่วนร่วมในกระบวนการวิจัยตั้งแต่ต้น และร่วมกันทำความเข้าใจปัญหา
- พันธมิตรจากภาคปฏิบัติทางสังคม (social practice) ต้องมีบทบาทสำคัญ โดยคำนึงถึงความสนใจและค่านิยมที่หลากหลายของพวกเขา
- ต้องพิจารณาถึงความชอบธรรม (legitimacy) ในการเลือกผู้เข้าร่วม เพื่อให้เกิดความหลากหลายและไม่ลำเอียง เช่น การศึกษาผลกระทบการสร้างเขื่อน ควรมีทั้งตัวแทนนักลงทุนและคนในชุมชน
- นักวิชาการต้องรักษาระยะห่างเชิงวิพากษ์ (critical distance) จากมุมมองของภาคส่วนต่าง ๆ ไม่ด่วนสรุป และต้องตระหนักถึงผลประโยชน์ทับซ้อนหรือมุมมองของตนเอง รวมถึงตำแหน่งแห่งที่ (positionality) และพลวัตทางอำนาจของตนเองเมื่อทำงานร่วมกับชุมชนหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น
- การสร้างทีม (Team Building):
- จำเป็นต้องมีทีมวิจัยที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องและตัวแทนจากภาคปฏิบัติ เพื่อร่วมกันออกแบบ พูดคุย และกำหนดปัญหา
- การตัดสินใจว่าจะเชิญใครหรือสาขาใดเข้าร่วม ควรเป็นผลมาจากการหารืออย่างเข้มข้น การทบทวน และการสะท้อนคิดเชิงวิพากษ์ ต้องหลีกเลี่ยงการครอบงำโดยสาขาวิชาใดสาขาวิชาหนึ่ง โดยทุกฝ่ายต้องตระหนักถึงข้อจำกัดของตนเอง
- การกำหนดปัญหาอย่างแม่นยำ (Accurately Defining the Problem):
- ต้องมีการแลกเปลี่ยนมุมมองที่หลากหลายเกี่ยวกับปัญหา และพยายามประนีประนอมหรือหาทางออกร่วมกันสำหรับความเห็นที่แตกต่าง
- ทำความเข้าใจและอภิปรายถึงบรรทัดฐานทางสังคมและมุมมองที่แตกต่างกันของแต่ละสาขาวิชาและแต่ละกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
- โครงสร้างของทีมอาจมีการปรับเปลี่ยนได้ และต้องมีฉันทามติ (consensus) ร่วมกันระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดในการกำหนดกรอบปัญหา
- บทบาทของงานวิจัย (Critical Stance):
- งานวิจัยข้ามศาสตร์ไม่ควรเป็นเพียง “งานวิจัยเพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน” (affirmative approach)” ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
- ในอุดมคติ งานวิจัยควรมีความเป็นกลาง สามารถทำหน้าที่ทั้งสนับสนุนและวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการดำเนินงานได้
- ควรมองปัญหาอย่างวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อค้นหาช่องว่าง ประเด็นที่ซ่อนเร้น ซึ่งจะนำไปสู่ความก้าวหน้าทางวิชาการ หรือการปรับปรุงการดำเนินงานในภาคปฏิบัติ
- การบูรณาการเครื่องมือ (Integrating Tools):
- ต้องสามารถประยุกต์ใช้เครื่องมือและวิธีการวิจัยที่หลากหลาย ทั้งเชิงคุณภาพ (qualitative) และเชิงปริมาณ (quantitative) เพื่อให้ได้ข้อมูลและความเข้าใจที่รอบด้าน
- การมุ่งสู่ผลลัพธ์ที่แก้ปัญหาได้และการตรวจสอบ (Producing Solutions & Verification):
- งานวิจัยควรมุ่งเน้นการสร้างสรรค์แนวทางแก้ไขปัญหาที่นำไปปฏิบัติได้จริง
- ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากภาคสังคมควรมีส่วนร่วมในการตรวจสอบและประเมินผลลัพธ์ของงานวิจัย แม้ว่างานวิจัยนั้นจะมีลักษณะทางเทคนิคก็ตาม เพื่อให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับความลึกซึ้ง ความเกี่ยวข้อง อุปสรรคในการนำไปใช้ ความสมเหตุสมผล และความเป็นไปได้ในการแก้ไขปัญหาจริง อาจใช้วิธีการประเมินแบบหลายเกณฑ์ (multi-criteria evaluation) เข้ามาช่วย
05 – บทสรุป: ทิศทางการวิจัยเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
จากการอภิปรายอย่างละเอียดเกี่ยวกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) แนวทางการวิจัยที่มุ่งเน้น SDGs และความสำคัญของงานวิจัยข้ามศาสตร์ (Transdisciplinary Research) สามารถสรุปประเด็นสำคัญเพื่อเป็นแนวทางและข้อคิดสำหรับนักวิจัย นักศึกษา และผู้ที่สนใจในการขับเคลื่อนวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ 5 ประการหลัก ดังนี้
- งานวิจัยเพื่อขับเคลื่อน SDGs เป็นมากกว่าเพียงการจับคู่เป้าหมาย แต่ต้องหยั่งรากในหลักการที่สนับสนุน SDGs อย่างแท้จริง: การดำเนินงานวิจัยในบริบทของ SDGs นั้น ไม่ควรจำกัดอยู่เพียงการนำหัวข้อวิจัยหรือผลงานที่มีอยู่มาเทียบเคียง (mapping) ว่าสอดคล้องกับเป้าหมาย 17 ข้อใดข้อหนึ่งเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือการทำความเข้าใจและนำหลักการพื้นฐานที่ค้ำจุน SDGs มาเป็นหัวใจในการออกแบบและดำเนินงานวิจัย หลักการเหล่านี้ได้แก่ ความยั่งยืน (Sustainability) ที่มองผลกระทบระยะยาว ความครอบคลุมและการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (Inclusivity and Leave No One Behind) ที่คำนึงถึงกลุ่มเปราะบางความสามารถในการปรับตัวและรับมือ (Resilience) หรือ “การตั้งรับปรับตัว” ต่อการเปลี่ยนแปลง และการเคารพสิทธิมนุษยชน (Human Rights) งานวิจัยที่แท้จริงจึงต้องสะท้อนจิตวิญญาณเหล่านี้ในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การตั้งคำถาม การออกแบบระเบียบวิธีวิจัย การดำเนินการ จนถึงการนำผลลัพธ์ไปใช้ประโยชน์ เพื่อให้มั่นใจว่างานวิจัยนั้นมีส่วนช่วยสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
- จำเป็นต้องเปลี่ยนผ่านกระบวนทัศน์จาก “งานวิจัยเพื่อให้ข้อมูล” (Research to Inform) สู่ “งานวิจัยเพื่อการเปลี่ยนแปลง” (Research to Transform): องค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยแบบดั้งเดิมมักมุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจหรือให้ข้อมูลเป็นหลัก แต่งานวิจัยในยุคของ SDGs จำเป็นต้องก้าวไปอีกขั้น โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการ สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก (transformative change) ในสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม สิ่งนี้คือการเน้นย้ำถึงลักษณะ “Directionality and Transformative Aim” ของ SDG Research ซึ่งหมายถึงงานวิจัยที่ต้องมีทิศทาง มุ่งเน้นการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม และนำไปสู่การปฏิบัติที่ก่อให้เกิดผลกระทบจริงในระยะยาว รวมถึงการพิจารณาถึงการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม (just transition) เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถปรับตัวและได้รับประโยชน์จากการพัฒนาอย่างทั่วถึง
- SDG Research คือการทำความเข้าใจ วิเคราะห์ และหาหนทางแก้ไขความท้าทายของการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยไม่ควรยึดติดเพียงแค่ตัวชี้วัด: แก่นแท้ของงานวิจัยที่มุ่งเน้น SDGs คือการมุ่งมั่นทำความเข้าใจปัญหาและความท้าทายที่ซับซ้อนของการพัฒนาที่ยั่งยืนในมิติต่าง ๆ ดังเช่น 6 ประเด็นท้าทายหลักของประเทศไทยที่ได้กล่าวข้างต้น รวมถึงการวิเคราะห์ถึงรากเหง้าของปัญหาและความเชื่อมโยงกับปัจจัยอื่น ๆ เพื่อที่จะสามารถเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา (solutions) ที่มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับบริบทได้จริง สิ่งสำคัญคือ นักวิจัยไม่ควรติดกับดักของการมุ่งเน้นเพียงแค่การปรับปรุงหรือเพิ่มค่าตัวชี้วัด (indicators) ของ SDGs เท่านั้น ดังที่บางครั้งอาจพบเห็นในการหารือกับหน่วยงานบริหารจัดการโครงการ (PMUs) ที่มักตั้งคำถามว่า “จะทำอย่างไรให้ตัวชี้วัดนี้ดีขึ้น?” การทำเช่นนั้นอาจทำให้มองข้ามปัญหาเชิงโครงสร้างหรือประเด็นพื้นฐานที่แท้จริงได้ งานวิจัย SDGs ที่ดีจึงควรให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาอย่างเป็นองค์รวม โดยยึดมั่นในลักษณะพื้นฐานและจิตวิญญาณของงาน SDGs
- งานวิจัยข้ามศาสตร์ (Transdisciplinary Research – TDR) เป็นแนวทางที่มีศักยภาพสูงในการตอบโจทย์ SDGs: จากที่ได้อธิบายถึงลักษณะของงานวิจัยข้ามศาสตร์ จะเห็นได้ว่าแนวทางนี้มีความเหมาะสมอย่างยิ่งกับการรับมือปัญหาที่ซับซ้อนของ SDGs และ TDR เน้นการบูรณาการองค์ความรู้จากหลากหลายสาขาวิชา (interdisciplinary) เข้ากับความรู้จากภาคปฏิบัติและภูมิปัญญาท้องถิ่น (societal/local knowledge) กระบวนการ การผลิตความรู้ร่วมกัน (knowledge co-production) ซึ่งให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่การกำหนดปัญหา การออกแบบการวิจัย การดำเนินการ จนถึงการนำผลลัพธ์ไปใช้ จะช่วยให้เกิดแนวทางแก้ไขที่สอดคล้องกับบริบทจริงและได้รับการยอมรับจากผู้เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ TDR ยังมุ่งสร้างผลกระทบทั้งในเชิงปฏิบัติ (การแก้ปัญหาสังคม) และเชิงวิชาการ (การสร้างองค์ความรู้ใหม่) ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของงานวิจัยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
- ภาพรวมขององค์ความรู้ที่นำเสนอเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงาน: เนื้อหาทั้งหมดที่ได้บรรยายและขยายความในครั้งนี้ ตั้งแต่ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ SDGs ลักษณะของงานวิจัยที่มุ่งเน้น SDGs ไปจนถึงแนวคิดและตัวอย่างของงานวิจัยข้ามศาสตร์ มีจุดมุ่งหมายเพื่อนำเสนอภาพรวม (overview) ที่ครอบคลุมและเป็นประโยชน์แก่ทุกคน โดยองค์ความรู้และมุมมองเหล่านี้ ถือเป็นประโยชน์และเป็นแรงบันดาลใจให้ท่านสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนางานวิจัย โครงการ หรือการดำเนินงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคนต่อไป
โดยสรุปแล้ว การเดินทางสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนยังคงเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ด้วยความมุ่งมั่น ความเข้าใจที่ถูกต้อง และการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ งานวิจัย และนวัตกรรมอย่างชาญฉลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านแนวทางการวิจัยที่ตอบโจทย์และมีส่วนร่วมดังที่ได้กล่าวมา เชื่อมั่นว่าจะสามารถนำพาสังคมของเราก้าวไปสู่ความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
อติรุจ ดือเระ – บรรณาธิการ
แพรวพรรณ ศิริเลิศ – พิสูจน์อักษร
วิจย์ณี เสนเเดง – ภาพประกอบ
● อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
– SDG Updates | สรุปเสวนา ‘การประชุมสร้างความร่วมมือระหว่างเครือข่ายนักวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 2’
– SDG Updates | สรุปเสวนา ‘การประชุมสร้างความร่วมมือระหว่างเครือข่ายนักวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 1’
– SDG Updates | สรุปเสวนา “การวิจัยและสนับสนุนระบบการขับเคลื่อนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ของกลุ่มการจัดการของเสียและมลพิษ” (โครงการย่อยที่ 2)
– SDG Updates | Introduction to SDG Localization: มุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน เริ่มจากระดับพื้นที่
ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ
#SDG1 ยุติความยากจน
#SDG2 ยุติความหิวโหย
#SDG3 สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
#SDG4 การศึกษาที่มีคุณภาพ
#SDG5 ความเท่าเทียมทางเพศ
#SDG6 น้ำสะอาดและการสุขาภิบาล
#SDG7 พลังงานสะอาดที่เข้าถึงได้
#SDG8 งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
#SDG9 โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม อุตสาหกรรม
– (9.5) เพิ่มพูนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ยกระดับขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของภาคอุตสาหกรรมในทุกประเทศ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา และให้ภายในปี พ.ศ. 2573 มีการส่งเสริมนวัตกรรมและให้เพิ่มจำนวนผู้ทำงานวิจัยและพัฒนา ต่อประชากร 1 ล้านคน และเพิ่มค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาในภาครัฐและเอกชน
#SDG10 ลดความเหลื่อมล้ำ
#SDG11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
#SDG12 การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน
– (12.8) สร้างหลักประกันว่าประชาชนในทุกแห่งมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องและมีความตระหนักถึงการพัฒนาที่ยั่งยืนและวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติ ภายในปี พ.ศ. 2573
#SDG13 การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
#SDG14 ทรัพยากรทางทะเล
#SDG15 ระบบนิเวศบนบก
#SDG16 ความสงบสุข ยุติธรรม และสถาบันที่เข้มแข็ง
#SDG17 ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
เอกสารอ้างอิง
Bergmann, M., Jahn, T., Knobloch, T., Krohn, W., Pohl, C., & Schramm, E. (2012). Methods for transdisciplinary research: a primer for practice. Campus Verlag.
Heimeriks, G. (n.d.). Sustainable Development Goals research at Utrecht University [PowerPoint slides]. Transformative Innovation Policy Consortium.12
Heimeriks, G., de Laat, J., & Schot, J. (2021, October 7). Addressing the Sustainable Development Goals at Utrecht University. Utrecht University.3
Independent Group of Scientists appointed by the Secretary-General. (2019). Global sustainable development report 2019: The future is now – science for achieving sustainable development. United Nations. https://sustainabledevelopment.un.org/content/documents/24797GSDR_report_2019.pdf
Independent Group of Scientists appointed by the Secretary-General. (2023). Global sustainable development report 2023: Times of crisis, times of change: Science for accelerating transformations to sustainable development. United Nations. https://sdgs.un.org/sites/default/files/2023-09/FINAL%20GSDR%202023-Digital%20-110923_1.pdf
International Council for Science. (2017). A Guide to SDG Interactions: From Science to Implementation. https://council.science/wp-content/uploads/2017/05/SDGs-Guide-to-Interactions.pdf
Kashnitsky, Y., Roberge, G., Mu, J., Kang, K., Wang, W., Vanderfeesten, M., Rivest, M., Chamezopoulos, S., Jaworek, R., Vignes, M., Jayabalasingham, B., Boonen, F., James, C., Doornenbal, M., & Labrosse, I. (2024). Evaluating approaches to identifying research supporting the United Nations Sustainable Development Goals. Quantitative Science Studies, 5(2), 408–425. https://doi.org/10.1162/qss_a_0030445
National Academy of Sciences. (2025). Advancing science for sustainable development: SDG research from PNAS. PNAS.67
Paoli, A. D., & Addeo, F. (2019). Assessing SDGs: A Methodology to Measure Sustainability. Athens Journal of Social Sciences, 6(3), 229–250. https://doi.org/10.30958/ajss.6-3-489
Purnell, P. J. (2022). A comparison of different methods of identifying publications related to the United Nations Sustainable Development Goals: Case Study of SDG 13 – Climate Action. Quantitative Science Studies, 3(4), 976–1002. https://doi.org/10.1162/qss_a_002151011
Sachs, J. D., Schmidt-Traub, G., Mazzucato, M., Messner, D., Nakicenovic, N., & Rockström, J. (2019). Six Transformations to achieve the Sustainable Development Goals. Nature Sustainability, 2(9), 805–814.
SDSN Australia/Pacific. (2017). Getting started with the SDGs in universities: A guide for universities, higher education institutions, and the academic sector (Australia, New Zealand and Pacific Edition). Sustainable Development Solutions Network – Australia/Pacific.1213
Sharma, M. (2024). How to create global impact through SDG-related research: A beginner’s guide. Editage Insights.1415
UK Research and Innovation, & National Research Foundation. (2019). Discussion paper on Mission-oriented Research: In the context of global Grand Challenges and the UN Sustainable Development Goals.1617
van Kerkhoff, L., & Lebel, L. (2006). Linking Knowledge and Action for Sustainable Development. In Annual Review of Environment and Resources (Vol. 31, Issue 1, pp. 445–477). https://doi.org/10.1146/annurev.energy.31.102405.170850

