วันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 Germanwatch ซึ่งเป็นองค์กรประเมินผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วทั่วโลก ได้เผยแพร่รายงาน Climate Risk Index (CRI) 2026 เพื่อแสดงผลลัพธ์การจัดอันดับประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสภาพอากาศสุดขั้ว พร้อมทั้งระบุภาพรวม สถานการณ์ ความท้าทาย และการดำเนินการระดับโลกที่มุ่งจัดการกับความท้าทายดังกล่าว โดยใช้ฐานข้อมูลระหว่างประเทศในช่วงระยะเวลา 30 ปี (ค.ศ. 1995–2024)
ประเด็นสำคัญที่ปรากฏในรายงานข้างต้น ได้แก่
1. อันดับประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในระยะยาว : โดมินิกา เมียนมา และฮอนดูรัส เป็นสามประเทศที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วมากที่สุดในระยะยาว (ค.ศ. 1995-2024)
2. อันดับประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในปี 2024 : เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ เกรเนดา และชาด เป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วมากที่สุดในปี 2024
3. สถิติความสูญเสียทั่วโลก (ค.ศ. 1995-2024) : พบว่าในช่วงเวลา 30 ปี เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว กว่า 9,700 ครั้ง เป็นสาเหตุโดยตรงทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 832,000 คนทั่วโลก และส่งผลให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจโดยตรงมากกว่า 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปรับตามอัตราเงินเฟ้อ) หรือประมาณ 145.17 ล้านล้านบาท
4. ภัยพิบัติที่โดดเด่นและผลกระทบ: สาเหตุที่ทำให้ผู้คนเสียชีวิตมากที่สุดในช่วง ค.ศ. 1995 – 2024 คือ คลื่นความร้อน 33% และพายุ 33% ขณะที่น้ำท่วมเป็นสาเหตุหลักที่สร้างผลกระทบเกือบครึ่งหนึ่ง หรือ 48%
5. ประเภทของประเทศที่ได้รับผลกระทบ ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในระยะยาว (1995-2024) แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่ผิดปกติมาก เช่น โดมินิกา เมียนมาร์ ฮอนดูรัส และลิเบีย และ 2) ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่เกิดซ้ำ ๆ เช่น เฮติ ฟิลิปปินส์ นิการากัว และอินเดีย
6. ผลกระทบต่อประเทศในกลุ่มโลกใต้ : แม้ทุกประเทศได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว แต่ประเทศในกลุ่มโลกใต้ (Global South) ได้รับผลกระทบเป็นพิเศษ โดยเฉพาะปี ค.ศ. 2024 ข้อมูลชี้ว่า 8 จาก 10 ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเป็นประเทศในกลุ่มรายได้ต่ำและรายได้ปานกลาง-ล่าง และในช่วงปี ค.ศ. 1995-2024 พบว่า 6 จาก 10 ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเป็นประเทศรายได้ปานกลาง-ล่าง รวมถึงรัฐเกาะเล็กกำลังพัฒนา 1 ประเทศ และประเทศพัฒนาน้อยที่สุด 3 ประเทศ ซึ่งประเทศเหล่านี้มีขีดความสามารถในการรับมือต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ อย่างมาก
7. ข้อจำกัดของข้อมูล: การจัดอันดับ CRI อ้างอิงจากชุดข้อมูลประวัติศาสตร์ที่เปิดเผยต่อสาธารณะที่ดีที่สุด (ณ เวลาที่เผยแพร่) เกี่ยวกับผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว เหตุการณ์เหล่านี้และผลกระทบมักถูกรายงานไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะในประเทศกลุ่มโลกใต้ เนื่องจากความท้าทายด้านคุณภาพและความครอบคลุมของข้อมูล และช่องว่างของข้อมูล ซึ่งอาจทำให้การจัดอันดับไม่สามารถสะท้อนผลกระทบทั้งหมดที่เกิดขึ้นในทุกประเทศได้อย่างแม่นยำ
8. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากมนุษย์ส่งผลต่อความถี่และความรุนแรงของเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว และนำไปสู่ผลกระทบด้านสภาพภูมิอากาศที่เป็นอันตรายอย่างกว้างขวาง เฉพาะปี 2024 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากมนุษย์เพิ่มวันที่มีความร้อนอันตรายกว่า 41 วันสำหรับผู้คนหลายพันล้านคนทั่วโลก ส่งผลกระทบอย่างมากต่อประชากรกลุ่มเปราะบาง และกระตุ้นเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วอื่น ๆ เช่น พายุเฮอริเคนที่รุนแรงขึ้นและไฟป่า
9. ข้อเรียกร้องต่อการประชุม COP 30: COP 30 ควรถกหาวิธีที่ที่มีประสิทธิภาพในการลดช่องว่างความทะเยอทะยานระดับโลก ตามที่ผลลัพธ์ CRI 2026 นำเสนอ ได้แก่ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกระดับโลกต้องลดลงทันที ความพยายามในการปรับตัวต้องเร่งรัดให้เกิดขึ้นได้เร็วขึ้น ต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาความสูญเสียและความเสียหายอย่างมีประสิทธิภาพ และต้องจัดหาเงินทุนด้านสภาพอากาศที่เพียงพอ
สำหรับประเทศไทย รายงาน CRI 2026 จัดให้อยู่ในอันดับที่ 17 ของโลก ประเทศที่มีความเสี่ยงต่อสภาพอากาศสุดขั้ว ปี ค.ศ. 2024 ร่วงลงมาจากอันดับที่ 69 ในปี ค.ศ. 2023 สะท้อนถึงความน่ากังวลว่าไทยมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น
ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมแม้ว่าไทยจะมีระดับการพัฒนาสูงกว่าประเทศรายได้ต่ำหลายประเทศ แต่ยังคงเผชิญกับความสูญเสียและความเสียหายจากสภาพอากาศรุนแรง โดยเฉพาะเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา หนึ่งในจังหวัดที่มีความเสี่ยงในเรื่องภัยอันตรายจากฝนตกหนัก ที่มีปริมาณฝนตกหนักสูงสุดถึง 350 มิลลิเมตรต่อวัน ถือเป็นปริมาณที่มากผิดปกติในรอบ 300 ปี สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ส่วนสาเหตุของปริมาณฝนที่ตกหนักนี้ เป็นสัญญาณบ่งชี้ที่ชัดเจนถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รูปแบบของฝนเปลี่ยนแปลงไป รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยกำหนดนโยบายรัฐบาลด้านธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ข้อ 12 เร่งติดตั้งเครื่องมือเตือนภัยและพัฒนาเครือข่ายการเตือนภัยพิบัติโดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงสูง และข้อ 13 ผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ ประกาศให้ไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี 2050
● อ่านข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง
– รายงาน IPCC ฉบับใหม่เผยข้อมูลผลกระทบและความเสี่ยงจาก Climate Change ต่อปัญหาสุขภาพปัจจุบัน
– เมื่อเท็กซัสกลายเป็นน้ำแข็งและไม่มีไฟฟ้าใช้ – คำเตือนว่าเรายังเตรียมพร้อมไม่พอสำหรับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
– ‘ภัยพิบัติจากน้ำ’ สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงมาทุกยุคสมัย และจะเกิดถี่ขึ้น – รุนแรงขึ้นเพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
– ภาษาว่าด้วย COP26: 13 คีย์เวิร์ดใช้ทำความเข้าใจบทสนทนาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
– ทำความรู้จัก “Extreme Weather” สภาพภูมิอากาศสุดขั้วที่เปลี่ยนท้องฟ้ากรุงเทพฯ ดำมืด ปัญหาท้าทายที่โลกต้องเร่งจัดการ
ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ
#SDG13 การรับมือกับการเปลี่ยนเเปลงสภาพภูมิอากาศ
– (13.1) เสริมภูมิต้านทานและขีดความสามารถในการปรับตัวต่ออันตรายและภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับภูมิอากาศในทุกประเทศ
– (13.2) บูรณาการมาตรการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในนโยบาย ยุทธศาสตร์ และการวางแผนระดับชาติ
– (13.3) พัฒนาการศึกษา การสร้างความตระหนักรู้ และขีดความสามารถของมนุษย์และของสถาบันในเรื่องการลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การปรับตัว การลดผลกระทบ การเตือนภัยล่วงหน้า
– (13.a) ดำเนินการให้เกิดผลตามพันธกรณีที่ผูกมัดต่อประเทศพัฒนาแล้วซึ่งเป็นภาคีของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีเป้าหมายร่วมกันระดมทุนจากทุกแหล่งให้ได้จำนวน 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี ภายในปี 2563 เพื่อจะแก้ปัญหาความจำเป็นของประเทศกำลังพัฒนาในบริบทของการดำเนินการด้านการบรรเทาที่ชัดเจนและมีความโปร่งใสในการดำเนินงานและทำให้กองทุน Green Climate Fund ดำเนินการอย่างเต็มที่โดยเร็วที่สุดผ่านการให้ทุน
แหล่งที่มา
– Climate Risk Index 2026 (Germanwatch)
– “กรมลดโลกร้อน” เผยไทยเสี่ยงสูงจาก “สภาพอากาศสุดขั้ว” เร่งยกระดับการเตือนภัย (ไทยรัฐออนไลน์)

