Site icon SDG Move

การศึกษาพบว่า หากสหรัฐฯ ยุติบริการทำแท้งทั้งประเทศ การเสียชีวิตในหญิงตั้งครรภ์อาจสูงขึ้นกว่าเดิมถึง 21%

การศึกษาใหม่ประเมินตัวเลขการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ ในกรณีที่สหรัฐอเมริกายกเลิกการให้บริการสาธารณสุขเพื่อยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยทั่วประเทศ พบว่าตัวเลขมารดาเสียชีวิตจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก เนื่องจากการตั้งครรภ์จนครบกำหนดอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตผู้หญิงบางคนมากกว่า

บทความวิจัของ Amanda Jean Stevenson ผู้ช่วยศาสตราจารย์ และนักวิจัยด้านนโยบายอนามัยเจริญพันธุ์ จาก University of Colorado Boulder ใช้ข้อมูลอัตราการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์และการยุติการตั้งครรภ์อย่างเป็นทางการของสหรัฐฯ เพื่อคาดการณ์จำนวนการเสียชีวิตที่จะเกิดขึ้น หากการตั้งครรภ์ที่ยุติด้วยการทำแท้งทั้งหมดดำเนินต่อไปจนครบกำหนดคลอด พบว่า การเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ (pregnancy-related deaths) ในสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้น 21% หรือเท่ากับ 140 ราย ภายในปีที่สองของการยกเลิกการให้บริการทำแท้งที่ปลอดภัยจากผู้ให้บริการทางแพทย์ที่ถูกกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการเสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นถึง 33% ในหญิงผิวดำที่ไม่ใช่กลุ่มฮิสแปนิก (non-Hispanic Black) ซึ่งจะซ้ำเติมวิกฤตด้านสุขภาพของมารดาผิวสีในสหรัฐฯ ที่ดำเนินอยู่ เนื่องจากปัญหาการเหยียดเชื้อชาติเชิงโครงสร้าง (structural racism) อคติในการให้บริการสุขภาพ และความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพที่เกิดขึ้น

การห้ามให้บริการยุติการตั้งครรภ์ที่ถูกกฎหมาย เพิ่มความเสี่ยงในการได้รับอันตรายจากการยุติการตั้งครรภ์ที่ไม่ปลอดภัย ซึ่งคร่าชีวิตผู้หญิงหลายร้อยคนต่อปีในสหรัฐในอดีต ผู้วิจัยระบุว่า บริการยุติการตั้งครรภ์ในสหรัฐฯ มีความปลอดภัยสูงมาก โดยมีตัวเลขอัตราการเสียชีวิตจากการยุติการตั้งครรภ์ 0.44 ต่อการบริการ 100,000 ครั้ง ระหว่างปี 2013-2017 ในขณะที่อัตราการตายของมารดาอยู่ที่ 20.1 ต่อการเกิดมีชีพ 100,000 คน ทั้งนี้ การเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์เกิดในสหรัฐฯ เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น อาการของโรคหัวใจและหลอดเลือด การติดเชื้อ และการตกเลือด เป็นต้น

ข้อเขียนนี้เผยแพร่หลังจากศาลสูงของสหรัฐฯ อนุญาตให้รัฐเท็กซัสบังคับใช้ “กฎหมายห้ามทำแท้ง” ในหญิงที่มีอายุครรภ์เกิน 6 สัปดาห์ขึ้นเมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นกฎหมายต่อต้านการทำแท้งที่รุนแรงสุดในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษาของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้มีการระงับการบังคับใช้กฎหมายนี้ไว้ชั่วคราวหลังมีการต่อต้านอย่างรุนแรงทั่วประเทศ และมีการอุทธรณ์จากรัฐเท็กซัส ซึ่งจะมีการพิจารณาต่อไป

ประเด็นดังกล่าว เกี่ยวข้องกับ
#SDG3 การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
- (3.1) ลดอัตราการตายของมารดาทั่วโลกให้ต่ำกว่า 70 คน ต่อการเกิดมีชีพ 100,000 คน ภายในปี พ.ศ. 2573
- (3.7) สร้างหลักประกันถ้วนหน้าในการเข้าถึงบริการสุขภาวะทางเพศและอนามัยการเจริญพันธุ์ รวมถึงการวางแผนครอบครัว ข้อมูลข่าวสารและความรู้ และการบูรณาการอนามัยการเจริญพันธุ์ในยุทธศาสตร์และแผนงานระดับชาติ ภายในปี พ.ศ. 2573
#SDG5 ความเท่าเทียมทางเพศ
- (5.6) สร้างหลักประกันว่าจะมีการเข้าถึงสุขภาวะทางเพศและอนามัยการเจริญพันธุ์ และสิทธิด้านการเจริญพันธุ์โดยถ้วนหน้า ตามที่ตกลงในแผนปฏิบัติการของการประชุมนานาชาติว่าด้วยประชากรและการพัฒนา และแผนปฏิบัติการปักกิ่งและเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมทบทวนเหล่านั้น

ที่มา : Study shows an abortion ban may lead to a 21% increase in pregnancy-related deaths (The Conversation)

Author

  • Social Media Manager - ตัวแทน 'คนธรรมดา' ในชุมชนนักวิชาการ อ่าน แปล และสื่อสารเรื่องความยั่งยืน

Exit mobile version