เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับการเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลก ครั้งที่ 5.2 (Intergovernmental Negotiating Committee: INC) หรือ INC-5.2 ณ จัตุรัสแห่งสหประชาชาติ (Palais des Nations) กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 – 14 สิงหาคม 2568 โดยมีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมกว่า 3,700 คน จาก 184 ประเทศ ซึ่งประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์ นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตัวแทนจากภาคอุตสาหกรรม และภาคประชาสังคม มาร่วมพิจารณาร่างข้อความของสนธิสัญญา โดยเป้าหมายหลักคือการบรรลุข้อตกลงขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับเนื้อหาของร่างสนธิสัญญา และผลักดันให้เกิดข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันทางกฎหมายในการยุติวิกฤตมลพิษจากพลาสติก
การเจรจาครั้งนี้ ถือเป็นการประชุมต่อเนื่องจากการเจรจาครั้งที่ 5 ที่จัดขึ้นเมืองปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งการประชุมครั้งนั้นไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ ซึ่งมีข้อสรุปว่าจำเป็นต้องมีการหารือเพิ่มเติมในประเด็นสำคัญบางประการ ก่อนจะสามารถจัดทำร่างสนธิสัญญาที่มีผลผูกพันทางกฎหมายให้เสร็จสมบูรณ์ เช่น มาตรการควบคุมการผลิตพลาสติกให้อยู่ในระดับที่ยั่งยืน และข้อบทว่าด้วยการจัดการสารเคมีที่เป็นอันตรายและน่ากังวล
วิกฤตพลาสติกได้ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสภาพภูมิอากาศ โดยตามการประเมินของ OECD คาดว่าหากไม่มีมาตรการแทรกแซง การผลิตพลาสติกทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นถึงสามเท่าภายในปี 2060 ขณะที่ปัจจุบันมีพลาสติกเพียง 9% เท่านั้นที่ได้รับการรีไซเคิล พลาสติกเพียง 9% เท่านั้นที่ได้รับการรีไซเคิล ส่วนที่เหลือส่วนใหญ่ถูกฝังกลบ หรือรั่วไหลลงสู่แม่น้ำและทะเล ขณะเดียวกัน รายงานของ Lawrence Berkeley National Laboratory ก็ได้ระบุว่าแนวโน้มนี้อาจนำไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิตพลาสติกเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าภายในปี 2050 หรือภายในกลางศตวรรษ ซึ่งจะกลายเป็นภัยคุกคามต่อเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศของโลก โดย Inger Andersen ผู้อำนวยการบริหารของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) กล่าวเตือนว่า “หากเรายังคงเดินไปในทิศทางนี้ ทั้งโลกจะจมอยู่ในมลพิษจากพลาสติก”
นอกจากนี้ ก่อนการเปิดฉากการเจรจาอย่างเป็นทางการ ภาคประชาสังคมได้ออกมาเรียกร้องให้เปิดเผยบทบาทของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งมีพฤติกรรมพยายามขัดขวางความก้าวหน้าในการจัดทำสนธิสัญญาพลาสติกโลก พร้อมเน้นย้ำว่าผู้เข้าร่วมการประชุมควรมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้นน้ำ โดยเฉพาะการควบคุมการผลิตพลาสติกตั้งแต่จุดเริ่มต้นของห่วงโซ่
ลอเรียนน์ ทริมูลลา ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กรและโครงการจากมูลนิธิ Gallifrey เปิดเผยว่าในการเจรจาครั้งก่อน มีผู้แทนจากอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลและปิโตรเคมีเข้าร่วมมากถึง 221 คน ซึ่งหากนับรวมกันจะกลายเป็นคณะผู้แทนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของเวทีเจรจา มากกว่าผู้แทนจากสหภาพยุโรปและประเทศสมาชิกซึ่งมีจำนวนรวม 191 คน “การเข้าร่วมอย่างหนาแน่นของกลุ่มอุตสาหกรรมสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความรู้สึกถูกคุกคามจากสนธิสัญญาพลาสติกโลก” เธอกล่าว พร้อมเน้นว่า “ภาคประชาสังคมจะไม่ยอมจำนนต่อกลยุทธ์ถ่วงเวลาและความพยายามครอบงำของภาคอุตสาหกรรมเหล่านี้อีกต่อไป เพราะทั้งวิกฤตพลาสติกและวิกฤตโลกร้อน ล้วนเป็นผลพวงจากการกระทำของบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลเพียงไม่กี่ราย แต่กลับส่งผลกระทบต่อผู้คนนับพันล้านทั่วโลก”
อย่างไรก็ดี แม้จะเคยมีเสียงวิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับกลยุทธ์ถ่วงเวลาจากประเทศที่พึ่งพาอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล แต่ในการเจรจาช่วงเช้าวันอังคารที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา กลุ่มประเทศเหล่านี้ยังไม่แสดงทีท่าถ่วงการเจรจา ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีช่วยให้การหารือสามารถเริ่มต้นได้ตามกำหนด Christina Dixon จากองค์กร Environmental Investigation Agency (EIA) กล่าวทิ้งท้ายว่า หากต้องการให้สนธิสัญญาฉบับนี้ครอบคลุมประเด็นการควบคุมการผลิตพลาสติก ประเทศที่มีจุดยืนความมุ่งมั่นสูงต้องไม่ยอมถอย และต้องยืนหยัดท่ามกลางแรงกดดันจากภาคอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล “เราไม่ควรยอมรับข้อตกลงแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ข้อตกลงที่เราต้องการ ต้องเป็นข้อตกลงที่เข้มแข็ง เพื่อผู้คนและเพื่อโลก”
● อ่านข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง
– SDG Insights | ขยะพลาสติกในทะเล: ความพยายามของภูมิภาคอาเซียน
– SDG Insights | ธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมในยุค ‘ขยะล้นเมือง’ : ทางออกที่ยั่งยืนอยู่ที่พลังการมีส่วนร่วมของประชาชน
– ทั่วโลกหารือออนไลน์ เตรียมพร้อมการประชุม INC – 5.2 หวังให้สนธิสัญญาพลาสติกโลกก้าวหน้าและได้รับการรับรองจากประเทศต่าง ๆ มากที่สุด
– ประชุม INC – 5 ยังไม่บรรลุ “สนธิสัญญาพลาสติกโลก”– ประเทศผลิตน้ำมันเห็นแย้งไม่ควรเร่งรัด ด้านจีนและสหรัฐฯ มีท่าทีสนับสนุนสนธิสัญญาฯ มากขึ้น
– SDG Updates | แบนพลาสติกเพิ่ม: แนวโน้มความสำเร็จหรือล้มเหลว? ทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจริงหรือ? และใครบ้างต้องปรับตัว?
– EJF ชวนจับตา ‘ข้อตกลงพลาสติกโลก ครั้งที่ 3’ พร้อมให้ข้อเสนอแนะต่อคณะผู้แทนรัฐบาลไทย เพื่อยุติมลพิษพลาสติกอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม
ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ
#SDG11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
– (11.6) ลดผลกระทบทางลบของเมืองต่อสิ่งแวดล้อมต่อหัวประชากรรวมถึงการให้ความสำคัญกับคุณภาพอากาศและการจัดการขยะมูลฝอย และของเสียอื่นๆ ภายในปี พ.ศ. 2573
#SDG12 การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน
– (12.5) ลดการเกิดของเสียโดยให้มีการป้องกัน การลดปริมาณ การใช้ซ้ำ และการนำกลับมาใช้ใหม่ ภายในปี พ.ศ. 2573
#SDG13 การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
– (13.1) เสริมภูมิต้านทานและขีดความสามารถในการปรับตัวต่ออันตรายและภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับภูมิอากาศในทุกประเทศ
– (13.2) บูรณาการมาตรการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในนโยบาย ยุทธศาสตร์และการวางแผน ระดับชาติ
#SDG14 ทรัพยากรทางทะเล
– (14.1) ป้องกันและลดมลพิษทางทะเลทุกประเภทอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะจากกิจกรรมบนแผ่นดิน รวมถึงขยะในทะเลและมลพิษจากธาตุอาหาร (nutrient pollution) ภายในปี พ.ศ. 2568
#SDG17 ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
– (17.14) ยกระดับความสอดคล้องเชิงนโยบายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
– (17.16) ยกระดับหุ้นส่วนความร่วมมือระดับโลกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยร่วมเติมเต็มโดยหุ้นส่วนความร่วมมือจากภาคส่วนที่หลากหลายซึ่งจะระดมและแบ่งปันความรู้ ความเชี่ยวชาญเทคโนโลยี และทรัพยากรทางการเงิน เพื่อจะสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกประเทศ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา
แหล่งที่มา:
– Divided nations start “final” talks on UN treaty to save us from “drowning in plastic pollution” (climatechangenews)
– Resumed fifth session of negotiations on a global plastic pollution treaty opens in Geneva (unep)
– ภาคประชาสังคมเรียกร้อง สนธิสัญญาพลาสติกโลกฉบับที่เข้มแข็ง ก่อนการเจรจาครั้งสุดท้ายที่กรุงเจนีวา (Greenpeace Thailand)