สวัสดีผู้อ่านทุกท่าน
เดินทางมาถึงปลายปี 2025 แล้ว ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามและสนับสนุน SDG Move มาโดยตลอด ปีที่ผ่านมาคือปีครบทศวรรษของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) มีเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมายที่เกิดขึ้น หากเริ่มต้นจากระดับประเทศ เราต่างตระหนักเห็นแล้วว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังคุกคามคนไทยทั่วทุกภูมิภาค ทั้งปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 และปัญหาน้ำท่วมที่เพิ่มระดับความรุนแรงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะในพื้นที่หาดใหญ่และภาคใต้ตอนล่างของไทย ขณะที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ยังคงมีการสู้รบทางการทหารอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กำลังพลและประชาชนเสียชีวิต บ้านเรือนเสียหาย และเศรษฐกิจชะงักงัน
ด้านสถานการณ์ระดับโลก ก็มีทั้งความท้าทายและโอกาส โดยประเด็นที่น่าจับตามองมากที่สุดคือการประชุมเวทีหารือระดับสูงทางการเมืองว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน (High-Level Political Forum on Sustainable Development: HLPF) ปี 2025 ซึ่งได้มีการทบทวนความก้าวหน้าการขับเคลื่อน SDGs ทั้งระดับชาติและนานาชาติ ขณะเดียวกันการผงาดกลับมามีอำนาจอีกครั้งของ ‘โดนัล ทรัมป์’ นั้นไม่เพียงนำพาสหรัฐอเมริกาออกนอกลู่ SDGs เพียงเท่านั้น หากแต่ยังส่งอิทธิพลต่อทิศทางการขับเคลื่อน SDGs ระดับโลกไม่น้อย ทั้งต่อกรณีสงครามความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับขบวนการฮามาส การประชุม COP30 ตลอดจนประเด็นการกีดกันทางสังคมและการไม่ยอมรับความหลากหลายของผู้คน
จดหมายข่าวฉบับนี้ จึงได้รวบรวมสถานการณ์ความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจในรอบหนึ่งปีแบบกระชับ ทั้งที่เผยแพร่ผ่านรูปแบบข่าวสารหรือบทความ พร้อมอัปเดตเรื่องราวสำคัญและแนะนำสิ่งที่จะเกิดขึ้นมาให้ทุกท่านรอติดตาม
จดหมายข่าวฉบับนี้ประกอบด้วยเนื้อหาทั้งหมด 4 ส่วน
- Editor’s note: ข้อความจากบรรณาธิการ หยิบยกประเด็นและข้อสังเกตที่น่าสนใจเกี่ยวกับการขับเคลื่อน SDGs
- เจาะลึกประเด็น SDGs ที่น่าจับตา: ชวนอ่านบทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญต่อประเด็นที่ยังเป็นความท้าทายของ SDGs พร้อมข้อเสนอแนะที่สามารถนำไปประยุกต์ได้
- สำรวจรายงานที่สำคัญประจำปี 2025: เปิดรายงานสำคัญที่นำเสนอความก้าวหน้า ความท้าทาย และการจัดอันดับต่าง ๆ ทั้งระดับภูมิภาคและโลก
- ส่องกรณีศึกษา ‘SDG in Action’: ชวนส่งกรณีศึกษาของบุคคล/องค์กรที่ขับเคลื่อนการทำงาน SDGs ในประเทศไทย
- ประมวลประเด็นสำคัญในรอบปี 2025: สรุปประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นตลอดปี 2025
- Our Activities: แนะนำกิจกรรมสำคัญที่ SDG Move และเครือข่ายได้ดำเนินการในรอบปีที่ผ่านมา
Editor’s note
‘2025’ เป็นปีที่ประเทศทั่วโลกรวมถึงไทยใช้เป็นหมุดหมายเพื่อหยุดตั้งหลักทบทวนความสำเร็จและความท้าทายหลังจากลงแรงขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนกันอย่างแข็งขันมายาวนานกว่า 10 ปี ดังเห็นได้จาก “รายงานเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนประจำปี 2568” (The Sustainable Development Goals Report 2025) ที่มีสำนักงานกิจการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Department of Economic and Social Affairs: UN DESA) เป็นหัวเรือหลักในการจัดทำ ได้นำเสนอเนื้อหาที่มุ่งเน้นการเปิดเผยความท้าทายว่าโลกยังคงไม่บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีเพียง 35% ของเป้าหมาย SDGs เท่านั้นที่มีความก้าวหน้าในระดับปานกลางหรือเป็นไปตามทิศทางที่กำหนด ขณะที่เกือบครึ่งหนึ่งของเป้าหมายคืบหน้าเพียงเล็กน้อย และอีก 18% ถดถอยลง และข้อเสนอแนะการเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่การขับเคลื่อน SDGs โดยชี้ว่าในการเร่งเครื่องการบรรลุ SDGs ในช่วง 5 ปีสุดท้าย ประเทศต่าง ๆ ต้องให้ความสำคัญกับ 6 ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงในระดับรากฐานเพื่อบรรลุเป้าหมาย SDGs ได้แก่ ระบบอาหาร การเข้าถึงพลังงานและความยั่งยืน การเชื่อมต่อทางดิจิทัล การปฏิรูปการศึกษา งานและระบบคุ้มครองทางสังคม รวมถึงการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพ
นอกจากนี้ “รายงานการพัฒนาที่ยั่งยืน” (Sustainable Development Report: SDR) และ SDG Index 2025 (2568) ที่จัดทำโดย Sustainable Development Solutions Network (SDSN) หรือเครือข่ายนักวิชาการทำงานเพื่อสนับสนุนการบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นอีกหนึ่งรายงานสำคัญที่เน้นย้ำถึงวาระครบหนึ่งทศวรรษของ SDGs ผ่านการกำหนดธีมของรายงานในปีนี้ คือ “A Decade After Their Adoption at the UN, the World Remains Highly Committed to the Sustainable Development Goals” หรือ “หนึ่งทศวรรษหลังรับรองเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โลกยังคงมุ่งมั่นอย่างเเน่วเเน่เพื่อบรรลุ”ซึ่งนำเสนอภาพรวมการบรรลุ SDGs ระดับโลก ว่าหากพิจารณาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2015 ซึ่งเป็นปีแรกที่นานาประเทศรับรองและนำ SDGs ไปขับเคลื่อนปรับใช้ ผ่านมาจนถึงตอนนี้คาดว่าจะยังไม่มีเป้าหมายใดที่จะบรรลุได้ทันในปี ค.ศ. 2030 โดยเฉพาะ 6 เป้าหมายที่อยู่ในสถานะท้าทายมาก (สถานะสีแดง) กำลังออกนอกลู่ทางที่จะบรรลุได้อย่างน่ากังวล และแสดงให้ว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้นมีความก้าวหน้าเพียงเล็กน้อยหรือแทบไม่มีเลย โดยเป้าหมายทั้งหก ได้แก่ SDG2 ยุติความหิวโหย SDG3 สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี SDG11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน SDG14 ทรัพยากรทางทะเล SDG15 ระบบนิเวศบนบก และ SDG16 สังคมสงบสุข ยุติธรรม และสถาบันเข้มแข็ง
เฉพาะประเทศไทย กระทรวงการต่างประเทศ ได้ร่วมมือกับศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือ SDG Move จัดทำรายงานผลการทบทวนการดำเนินงานตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ระดับชาติโดยสมัครใจของไทย (Voluntary National Review: VNR) โดยหนึ่งในประเด็นสำคัญของรายงานฉบับนี้คือการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติเพื่อสะท้อนความคืบหน้าการดำเนินการตาม SDGs ของไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งได้ข้อค้นพบว่า SDGs ที่มีสัดส่วนตัวชี้วัดที่บรรลุเป้าหมายแล้วหรือกำลังอยู่ในเส้นทางที่จะบรรลุเป้าหมายในปี ค.ศ. 2030 มากที่สุด ได้แก่ SDG14 ทรัพยากรทางทะเล รองลงมาคือ SDG12 การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน SDG5 ความเท่าเทียมทางเพศ และ SDG10 ลดความเหลื่อมล้ำ ตามลำดับ ส่วน SDGs ที่มีสัดส่วนของตัวชี้วัดที่แสดงการถดถอยมากที่สุด ได้แก่ SDG15 ระบบนิเวศบนบก รองลงมาคือ SDG8 งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ และ SDG17 ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
สำหรับ SDG Move ในปีที่ 10 แห่งการขับเคลื่อนเป้าหมายร่วมของโลก เราได้ขยับบทบาทมาสู่การเป็น SDG Knowledge Hub ที่มุ่งมั่นสานต่อภารกิจเดิม ทั้งการสรุปและเสนอข่าวสาร SDGs ในประเด็นที่หลากหลาย การทำงานประสานกับผู้เชี่ยวชาญในการร่วมนำเสนอบทวิเคราะห์ภาพรวมและเชิงลึกต่อประเด็นเฉพาะ อีกทั้งยังวางหมุดใหม่ในการสร้างสรรค์บทสัมภาษณ์ภายใต้คอลัมน์ ‘SDG in Action’ ซึ่งชวน ‘คนทำงานจริง’ จากภาคส่วนที่หลากหลาย ทั้งภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน มาถกสนทนาถึงความสำเร็จและถอดบทเรียนการปรับตัวต่อความท้ายในการขับเคลื่อน SDGs ซึ่งเป็นกรณีศึกษาที่ไม่เพียงช่วยเพิ่มเสียงว่ามีใครทำอะไรอยู่ที่ไหนเพื่อสนับสนุน SDGs บ้าง แต่ยังให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์แก่การนำไปปรับใช้สำหรับอีกหลายบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ยังจับต้นชนปลายหรือกำลังมองหาแนวทางที่ใช้ได้จริงแก่การขับเคลื่อนประเด็นเฉพาะของ SDGs
ทั้งนี้ หากเชื่อมโยงบทสะท้อนสถานการณ์ระดับโลกกับบทสะท้อนการดำเนินงาน SDGs ของไทย ผ่านการสังเคราะห์ 3 เเหล่ง ได้เเก่ รายงานความก้าวหน้าเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย พ.ศ. 2559 – 2563 รายงานความก้าวหน้า SDGs ของภูมิภาคเอเชียเเละเเปซิฟิกปี 2567 (Asia and Pacific Progress Report 2024) เเละ Sustainable Development Report 2024 พบว่าเเม้พยายามขยับขับเคลื่อนเเล้ว เเต่การพัฒนาที่ยั่งยืนของไทยก็ยังมีความท้าทาย 6 ประเด็นสำคัญ ได้เเก่ 1) ระบบเกษตรเเละอาหารที่ยั่งยืน 2) เศรษฐกิจที่เป็นธรรมเเละยั่งยืน 3) สุขภาวะเเละการพัฒนาศักยภาพ 4) การตั้งรับปรับตัวต่อภัยพิบัติ 5) การอนุรักษ์ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ และ 6) ระบบอภิบาลเเละกลไกขับเคลื่อน ตลอดปี ค.ศ. 2025 เนื้อหาความรู้ส่วนใหญ่ที่สร้างสรรค์โดย SDG Move จึงใช้ประเด็นทั้งหกเป็นกรอบกำหนดทิศทางการสื่อสาร
ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนถึงปี ค.ศ.2030 เราต่างตระหนักดีว่าการจะบรรลุทุกเป้าหมายตามที่ฝันใฝ่นั้นคงยากจะเป็นไปได้ เพราะแม้แรงขับจะเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่นตั้งใจเพียงใดแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีแรงต้านอีกมากมายทั้งที่คาดถึงและคาดไม่ถึง โดยเฉพาะสงคราม การระบาดของโรควิด-19 อำนาจการเมืองระหว่างประเทศที่ผินหลังให้การเปลี่ยนผ่านพลังงาน รวมถึงแนวคิดชาตินิยมที่เติบโตรวดเร็วในหลายแห่งจนกลายเป็นความเกลียดกลัวต่อต้านความร่วมมือพหุภาคีอันเป็นรากฐานสำคัญของ SDGs เหล่านี้ล้วนเป็นแรงเสียดทานที่ทำให้การบรรลุ SDGs เฉื่อยช้าและท้าทายมากขึ้น
งานสื่อสารความรู้เรื่อง SDGs จึงจำเป็นต้องเร่งแรงขับให้แก่ภาคส่วนที่หลากหลาย โดยนอกจากการผลิตองค์ความรู้พื้นฐาน (fundamental knowledge) แล้ว ยังต้องเติมการนำเสนอประเด็นเร่งด่วนเฉพาะและช่องว่างความต้องการพัฒนาระดับพื้นที่ให้มากขึ้น เพื่อให้ผู้ดำเนินงานสามารถระบุโจทย์การพัฒนาได้ตรงจุดและตรงพื้นที่ หนุนเนื่องให้เกิด ‘SDG Localization’ ได้อย่างเข้มแข็งและผลักดันสู่การมีส่วนร่วมในเชิงนโยบายและการปฏิบัติ ขณะเดียวกันต้องสนทนาเพื่อรับฟังและสะท้อนเสียงของกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะกลุ่มคนชายขอบ คนจนเมือง กลุ่มชาติพันธุ์ เด็กและสตรี ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความเหลื่อมล้ำ และการละเมิดสิทธิ์ โดยไม่เพียงเสนอผลกระทบแต่จะขีดเส้นเน้นตัวหนาให้ชัดว่ากลุ่มคนเหล่านี้อยากให้เกิดการพัฒนาอย่างไร เพื่ออะไร
ท้ายที่สุด SDG Move เชื่อมั่นว่าความตั้งใจเหล่านี้จะทำให้งานสื่อสารความรู้เรื่อง SDGs ขยับจากแนวคิด ‘communicate to know’ ไปสู่ ‘communicate to transform’ หรือการสื่อสารความรู้ที่กินได้ ย่อยง่าย และหนุนเสริมให้เกิดการพลิกโฉมการขับเคลื่อน SDGs อย่างเป็นระบบ ถูกต้อง และครอบคลุมมากขึ้น
เจาะลึกประเด็น SDGs ที่น่าจับตา
ธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมในยุค ‘ขยะล้นเมือง’ : ทางออกที่ยั่งยืนอยู่ที่พลังการมีส่วนร่วมของประชาชน
ผศ. ดร.ลดาวัลย์ ไข่คำ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ชวนสำรวจระบบการจัดการขยะในประเทศไทยผ่านมุมมองด้านธรรมาภิบาล และตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ของ “การมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ไขวิกฤตขยะล้นเมืองภายใต้กรอบธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม” โดยชี้ให้เห็นว่าปัญหาขยะล้นเมือง ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาทางกายภาพหรือเชิงเทคนิคเท่านั้น หากแต่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบการบริหารจัดการภาครัฐ พร้อมทั้งนำเสนอปัจจัยสนับสนุนหลักที่จำเป็นต่อการส่งเสริมการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เพื่อผลักดันให้เกิดผลในเชิงนโยบายที่ยั่งยืนและสะท้อนบริบทของประเทศไทย
เมื่อ ‘ซากดึกดำบรรพ์’ สัมพันธ์กับ Climate Change หนทางปกป้องอนาคตของโลกจึงต้องศึกษาอดีต
ผศ. ดร.อดุลย์ สมาธิ สถาบันวิจัยวลัยรุกขเวช มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เปิดเผยความเชื่อมโยงถึงการศึกษาฟอสซิลที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจได้ดีขึ้นว่าชนิดพันธุ์วิวัฒนาการมาอย่างไร ระบบนิเวศและภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และเหตุการณ์การสูญพันธุ์เกิดขึ้นได้อย่างไร พร้อมเสนอแนะแนวทางการอนุรักษ์สมัยใหม่ที่สามารถนำมาปรับใช้เป็นฐานข้อมูลพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบต่อโลกได้
อนาคตเกษตรและอาหารไทย: ก้าวสู่ระบบยั่งยืนอย่างแท้จริง หรือแค่ภาพฝัน?
อาจารย์นนท์ นุชหมอน คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชวนพิจารณาบทบาทและอนาคตของ “เกษตรกรไทย” ในบริบทการเปลี่ยนแปลงของระบบอาหารและการเกษตร ว่าในทศวรรษข้างหน้า เกษตรกรจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร พึ่งพาแรงงานเหมือนเดิม หรือขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีมากขึ้น ความเสี่ยงในการผลิตจะลดลงเพียงใด และระดับความมั่นคงทางเศรษฐกิจของพวกเขาจะดีขึ้นหรือยังถูกจำกัดด้วยปัญหาหนี้สินเรื้อรัง
สำรวจรายงานที่สำคัญประจำปี 2025
บทสรุป SDG Index 2025 – ครบ 1 ทศวรรษ โลกยังไม่บรรลุ SDGs ใด พบไทยมี 6 เป้าหมายตกอยู่ในสถานะท้าทายมาก
Sustainable Development Solutions Network (SDSN) หรือเครือข่ายนักวิชาการทำงานเพื่อสนับสนุนการบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ทำงานใกล้ชิดกับองค์การสหประชาชาติ จัดทำรายงานการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อติดตามสถานการณ์การขับเคลื่อนเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งในภาพรวมระดับโลก รวมถึงสถานการณ์แต่ละประเทศมาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี ทั้งยังเป็นรายงานฉบับเดียวที่มีการจัดอันดับความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนของทุกประเทศมาตั้งแต่ปี 2558
สรุปประเด็นสำคัญ รายงานความก้าวหน้า SDGs ของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ปี 2568
คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (The Economic and Social Commission for Asia and the Pacific: ESCAP) ได้เผยแพร่ “Asia and the Pacific SDG Progress Report 2025: Engaging communities to close the evidence gap” หรือ “รายงานความก้าวหน้าเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ประจำปี 2568: การมีส่วนร่วมของชุมชนในการลดช่องว่างด้านข้อมูลหลักฐาน” อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นรายงานฉบับที่ 8 นับตั้งแต่เริ่มจัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกในปี 2017 โดยนำเสนอผลการดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก พร้อมเน้นย้ำว่าความคืบหน้าในการบรรลุเป้าหมาย SDGs ส่วนใหญ่ยังคงเป็นไปอย่างเชื่องช้าหรือหยุดชะงัก แม้มีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายภายในปี 2030
ส่องกรณีศึกษา ‘SDG in Action’
ประมวลประเด็นสำคัญในรอบปี 2025
จากการติดตามข่าวสารและประเด็นที่เกี่ยวข้องหรือส่งผลกระทบต่อ SDGs ทั้งระดับนานาชาติ และประเทศไทย ภายใต้โครงการ SDG Watch ในช่วงเดือนมกราคม จนถึง ธันวาคม 2568 พบว่ามีข่าวสารที่เกี่ยวข้องหรือส่งผลกระทบต่อ SDGs อย่างมีนัยยะสำคัญ ดังสรุปได้ ดังนี้
ระดับนานาชาติ
1. ส่องประเด็นสำคัญสำหรับขับเคลื่อน SDGs ของ UNGA ในปี 2568 จากแถลงการณ์ล่าสุดของเลขาธิการ UN
António Guterres เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ แถลงใน ‘การประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเพื่อลำดับประเด็นสำคัญขององค์กรสำหรับปี 2568’ โดยเน้นย้ำว่าความขัดแย้ง ความไม่เท่าเทียม วิกฤตการณ์สภาพอากาศ ล้วนเป็นปัญหาจากภัยพิบัติแห่งยุคสมัย ซึ่งจำเป็นต้องเร่งรัดแก้ไขและปฏิรูปโดยมุ่งเน้นไปที่การผลักดันผ่าน “Pact of the Future”
2. World Economic Forum เผย 10 อันดับความเสี่ยงโลกปี 2568 สงคราม ข้อมูลบิดเบือน และวิกฤตภูมิอากาศ ความท้าทายหลัก
รายงานความเสี่ยงโลกประจำปี 2568 นำเสนอผลจากการเก็บข้อมูลผ่านการสำรวจ Global Risks Perception Survey (GRPS) ปี 2567 – 2568 ได้สำรวจความเห็นข้อมูลเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญมากกว่า 900 รายทั่วโลกในหลากหลายสาขารวมถึงผู้กำหนดนโยบายและผู้นำในอุตสาหกรรมที่มีต่อความเสี่ยงโลกที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระยะสั้น (2 ปี) และความเสี่ยงที่มีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้นในระยะยาว (10 ปี)
รายงานระบุว่าความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมยังคงเป็นประเด็นเดิมจากปีก่อน แต่มีการปรับอันดับใหม่ สะท้อนถึงความน่ากังวลที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ และสังคมมีความเชื่อมโยงกันมากขึ้นจากปัญหาระหว่างประเทศ นอกจากนี้ เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญต่อชีวิตและสังคมมากขึ้น ทำให้การแก้ไขปัญหาความเสี่ยงโลกจำเป็นต้องชัดเจนและยั่งยืนในระยะยาว
3. ‘สนธิสัญญาทะเลหลวง’ จะบังคับใช้ต้นปีหน้า ผลจาก ‘โมร็อกโก’ และ ‘เซียร์ราลีโอน’ ให้สัตยาบันเป็นประเทศที่ 60 และ 61 ถือว่าครบเกณฑ์ขั้นต่ำตามกำหนด
วันที่ 19 กันยายน 2568 โมร็อกโก และ เซียร์ราลีโอน เป็นประเทศที่ 60 และ 61 ที่ลงนามให้สัตยาบันต่อ ‘สนธิสัญญาทะเลหลวง’ หรือ ‘ข้อตกลงสนธิสัญญาที่ว่าด้วยการจัดระเบียบการใช้ทรัพยากรพันธุกรรมและความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลในพื้นที่ที่อยู่นอกเขตอำนาจรัฐ (BBNJ)’
การตัดสินใจที่กล้าหาญอย่างรับผิดชอบของ โมร็อกโก และ เซียร์ราลีโอน ที่เกิดขึ้นล่าสุด จึงเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้การรอคอยอย่างนานขยับไปต่อได้ด้วยความหวัง เนื่องจากทำให้สนธิสัญญาทะเลหลวงมีประเทศที่ให้สัตยาบันครบอย่างน้อย 60 ประเทศ และจะมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม 2569 อย่างเป็นทางการ
4. ปิดฉากการประชุม APEC 2025 ที่เกาหลีใต้ ปัญญาประดิษฐ์-เศรษฐกิจ และความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ กำหนดทิศทางอนาคตภูมิภาค
ปิดฉากลงแล้ว สำหรับการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค หรือ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Cooperation : APEC) ประจำปี พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) จัดระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายน ณ เมืองคยองจู ประเทศเกาหลีใต้ โดยมีประธานาธิบดีอี แจ-มยอง เป็นเจ้าภาพในการจัดประชุม ‘APEC 2025 Korea’ สำหรับการจัดประชุมครั้งนี้ ประกอบด้วยสมาชิกจาก 21 เขตเศรษฐกิจ ภายใต้ธีม “เสริมสร้างวันพรุ่งนี้ที่ยั่งยืน” (Building a Sustainable Tomorrow) เป็นการหารือและติดตามความคืบหน้าในประเด็นสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ เชื่อมโยง-สร้างนวัตกรรม-ความรุ่งเรือง (Connect. Innovate. Prosper.)
5. เปิดฉากการประชุม ‘COP30’ ที่บราซิล จับตาประเด็นพลังงานสะอาด – ระดมทุนอนุรักษ์ป่าไม้ ลดโลกร้อน และเร่งลงมือปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาเดิม
เปิดฉากการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change Conference of the Parties: UNFCCC COP) ครั้งที่ 30 หรือการประชุม ‘COP30’ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10 – 21 พฤศจิกายน 2568 ณ เมืองเบเล็ง (Belém) ประเทศบราซิล
การประชุมครั้งนี้ บราซิลในฐานะเจ้าภาพเรียกร้องให้มีการระดมเงินทุนจำนวน 25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 8.10 แสนล้านบาท) และดึงดูดเงินลงทุนเพิ่มเติมอีก 100 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.24 ล้านล้านบาท) จากตลาดการเงินโลก สำหรับโครงการ Tropical Forests Forever Facility (TFFF) เพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและลดการตัดไม้ทำลายป่า พร้อมทั้งเรียกร้องให้นานาประเทศดำเนินการตามคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ในอดีต เช่น การยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลตามข้อตกลงของ COP28 โดยเป้าหมายหลักของรัฐบาลบราซิลในครั้งนี้คือ “การลงมือปฏิบัติ” (implementation) มากกว่าการตั้งเป้าหมายใหม่
อ่านข่าวฉบับเต็มโดยคลิกที่รูปภาพ
เปิดฉากการประชุม ‘COP30’ ที่บราซิล จับตาประเด็นพลังงานสะอาด – ระดมทุนอนุรักษ์ป่าไม้ ลดโลกร้อน และเร่งลงมือปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาเดิม
ประเทศไทย
1. คณะผู้แทนไทยนำเสนอรายงาน VNR ครั้งที่ 3 บนเวที HLPF 2025 – SDG Move ร่วมสะท้อนมุมมองภาควิชาการและประชาสังคม
วันที่ 21 กรกฎาคม 2568 นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้นำคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ประจำปี ค.ศ. 2025 (High-Level Political Forum on Sustainable Development 2025: HLPF 2025) ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เพื่อยืนยันความมุ่งมั่นของไทยในการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้นำเสนอรายงานผลการทบทวนการดำเนินงานตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ระดับชาติโดยสมัครใจของไทย (Voluntary National Review: VNR) ร่วมกับนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ชล บุนนาค ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยการนำเสนอรายงาน VNR ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 3 ของประเทศไทย
2. ร่างกฎหมาย PRTR ได้ไฟเขียว สภาฯ หนุนเอกฉันท์ สิทธิประชาชนในสิ่งแวดล้อมปลอดภัย
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 5 กันยายน 2568 มีวาระพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติการรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ (ภาคประชาชน) และร่างพระราชบัญญัติการรายงานการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งร่างกฎหมาย PRTR ที่พรรคการเมืองเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรพร้อมกัน โดยที่ประชุมได้ลงมติในวาระแรกเพื่อรับหลักการ และตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาพิจารณาศึกษา ผลการลงมติปรากฏว่า มีผู้เข้าร่วมลงคะแนน 442 เสียง เห็นด้วย 434 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี งดออกเสียง 4 เสียง และไม่ลงคะแนน 4 เสียง ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้รับหลักการร่างพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับ
3. สรุปท่าทีไทยบนเวที UNGA 80 สะท้อนปัญหาสันติภาพ-ความมั่นคง ชูประเด็นสิทธิมนุษยชน สิทธิสตรี และสุขภาพ เพื่อความยั่งยืนทุกมิติ
นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ร่วมกล่าวถ้อยแถลงในการอภิปรายทั่วไป ในระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ครั้งที่ 80 (80th Session of the United Nations General Assembly: UNGA80) ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23–29 กันยายน 2568 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ เมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยต่อระบบพหุภาคี ความท้าทายเร่งด่วนภายในประเทศ พร้อมแสดงวิสัยทัศน์ว่าไทยนั้นมองกว้างไกลกว่าชายแดน และปรารถนาจะเห็นโลกที่สงบสุข
4. บทบาทไทยในการประชุม ‘COP30’ ตั้งเป้า ‘ลดก๊าซเรือนกระจก – ผลักดันกฎหมายโลกร้อน-เร่งทศวรรษแห่งการเปลี่ยนผ่าน
การประชุม ‘COP30’ หรือ การประชุมประเทศภาคี (Conference of the Parties) ครั้งที่ 30 ที่จัดขึ้น ณ เมืองเบเล็ง (Belém) ประเทศบราซิลระหว่างวันที่ 10 – 21 พฤศจิกายน 2568 ไทยเข้าร่วมการประชุมภายใต้การนำของ ภัทรานันท์ ทองประพาฬ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยได้กล่าวถ้อยแถลงแสดงเจตนารมณ์ว่าไทยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 47% จากระดับปี 2562 ตามที่ระบุไว้ในเอกสารเป้าหมายประเทศ NDC 3.0 ฉบับล่าสุด เเละหวังว่าผลลัพธ์ของ COP30 จะช่วยผลักดันให้ทศวรรษแห่งการเปลี่ยนผ่านเกิดขึ้นจริง
บทบาทของไทยในการเข้าร่วมเวที COP30 สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ไทยย้ำว่าการกำหนดผลลัพธ์ที่ชัดเจนตามเป้าหมายการเสริมความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับโลก (Global Goal on Adaptation : GGA) เป็นสิ่งจำเป็น พร้อมร่วมมือกับภาคีทุกประเทศเพื่อให้ตัวชี้วัดของ GGA สามารถใช้ได้ทั้งในเชิงปฏิบัติระดับชาติและสอดคล้องกับแนวทางสากล
5. สรุปประเด็นสำคัญ Climate Risk Index 2026 พบไทยเสี่ยงสภาพอากาศสุดขั้วมากขึ้น ส่วนเมียนมารับผลกระทบระยะยาวมากสุดในอาเซียน
Germanwatch ซึ่งเป็นองค์กรประเมินผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วทั่วโลก ได้เผยแพร่รายงาน Climate Risk Index (CRI) 2026 เพื่อแสดงผลลัพธ์การจัดอันดับประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสภาพอากาศสุดขั้ว พร้อมทั้งระบุภาพรวม สถานการณ์ ความท้าทาย และการดำเนินการระดับโลกที่มุ่งจัดการกับความท้าทายดังกล่าว โดยใช้ฐานข้อมูลระหว่างประเทศในช่วงระยะเวลา 30 ปี (ค.ศ. 1995–2024)
สำหรับประเทศไทย รายงาน CRI 2026 จัดให้อยู่ในอันดับที่ 17 ของโลก ประเทศที่มีความเสี่ยงต่อสภาพอากาศสุดขั้ว ปี ค.ศ. 2024 ร่วงลงมาจากอันดับที่ 69 ในปี ค.ศ. 2023 สะท้อนถึงความน่ากังวลว่าไทยมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น
อ่านข่าวฉบับเต็มโดยคลิกที่รูปภาพ
สรุปประเด็นสำคัญ Climate Risk Index 2026 พบไทยเสี่ยงสภาพอากาศสุดขั้วมากขึ้น ส่วนเมียนมารับผลกระทบระยะยาวมากสุดในอาเซียน
การริเริ่มใหม่
ในปีที่ผ่านมา SDG Move ได้ริเริ่มการสื่อสารความรู้ผ่านรูปแบบและวิธีการใหม่เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและขยายกลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้น
การริเริ่มแรกคือ ‘SDG Talk’ พอดแคสต์ที่จะพาผู้ฟังไปทำความรู้จัก อัปเดตข่าวสาร ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs ในรูปแบบเสียงเเละวิดีโอ เน้นการสื่อสารที่เข้าใจง่าย ฟังสบาย ๆ เหมาะสำหรับผู้สนใจอยากเรียนรู้ SDGs
ช่องทางการรับฟังรายการ SDG Talk
YouTube: / @sdgmoveth
Spotify: https://open.spotify.com/show/04A4oLN…
SoundCloud: / sdgmove-th
อีกการริเริ่มคือ กิจกรรม “SDG 101 Fast Track: จากเป้าหมายโลกสู่การลงมือทำ” หลักสูตรการเรียนรู้ออนไลน์ที่สรุปเรื่องราวของ SDGs ในรูปแบบ Podcast อย่างครบถ้วนภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง พร้อมแบบทดสอบประเมินความรู้และรับ E-Certificate เหมาะสำหรับนักเรียน นักศึกษา รวมถึงประชาชนทั่วไปที่ต้องการทำความเข้าใจ SDGs อย่างกระชับ เข้าใจง่าย และสามารถนำไปปรับใช้ได้จริง
สมัครเรียนและทดสอบความรู้ “SDG 101 Fast Track: จากเป้าหมายโลกสู่การลงมือทำ”
Our Activities
อติรุจ ดือเระ – เรียบเรียง
แพรวพรรณ ศิริเลิศ – พิสูจน์อักษร
วิจย์ณี เสนเเดง – ภาพประกอบ

