Site icon SDG Move

SDG Updates | สรุปเสวนา “ขยะพิษจากอุตสาหกรรมส่งผลต่อชีวิตและการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างไร ?”

วันที่ 7 สิงหาคม 2568 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ ศูนย์วิจัยเเละสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) เเละ สถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา จัดเสวนาหัวข้อ “ขยะพิษจากอุตสาหกรรมส่งผลต่อชีวิตและการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างไร” ภายใต้ประเด็นสำคัญอย่างปัญหา “ทุนจีนเทา” ที่กำลังสร้างปัญหาต่อสังคมไทย ทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง ขณะที่ประเทศยังมี ช่องโหว่ทางกฎหมายและปัญหาการทุจริต ที่ขัดขวางการแก้ไขอย่างจริงจัง ดังนั้น ความพยายามของทีม “สุดซอย” ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรมแม้มีความเคลื่อนไหว แต่ยังมีการตั้งคำถามว่าทำอะไร ได้ผลหรือไม่ เหตุเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการแก้ปัญหาไม่อาจพึ่งพาภาครัฐเพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยบทบาทร่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาควิชาการ และภาคพลเมือง เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคม

โดยมีวิทยากรร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยน 5 ท่าน ประกอบด้วย

  1. คุณฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
  2. คุณเพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อํานวยการ มูลนิธิบูรณะนิเวศ
  3. คุณดาวัลย์ จันทรหัสดี ผู้ประสานงาน เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากมลพิษอุตสาหกรรม
  4. รศ. ดร.นิรมล สุธรรมกิจ ผู้อํานวยการ หน่วยภารกิจยุทธศาสตร์ สกสว.
  5. ผู้ดำเนินรายการโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ชล บุนนาค ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน

SDG Updates ฉบับนี้ ชวนติดตามบทสรุปการเสวนา เพื่อมองเห็นภาพสถานการณ์ปัญหาขยะพิษ ตั้งแต่ผลกระทบที่เกิดขึ้น รูปแบบการลักลอบ การจัดการที่มีอยู่ ตลอดจนข้อท้าทายสำคัญที่สังคมไทยต้องเผชิญ


01 – ‘จีนเทา’ ต้นตอขยะพิษข้ามชาติ

ภายใต้คำถามหลักว่า ‘จีนเทา’ เชื่อมโยงอย่างไรกับการนำขยะพิษเข้ามาในประเทศไทย คุณฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ตั้งต้นอธิบายว่า “ที่เรียกว่าจีนเทาเพราะจากการลงพื้นที่ตรวจค้น/บังคับใช้กฎหมาย พบว่าการลงทุนจากต่างชาติในภาคอุตสาหกรรมเป็นลักษณะของการใช้ประเทศไทยเป็นฐานการฟอกเงินที่เอื้อให้นำเงินนอกระบบหรือเงินผิดกฎหมายเข้ามาฟอกให้ถูกกฎหมาย โดยนักลงทุนกลุ่มนี้มีวิธีการหลบหลีกการตรวจสอบที่หลากหลาย โดยเฉพาะการใช้ ‘นอร์มินี’ หรือให้คนไทยเป็นผู้ถือใบอนุญาตแล้วเปิดช่องให้นักธุรกิจชาวจีนเข้ามามีอิทธิพลจัดการกิจการนั้น ๆ เช่น การลงทุนและจ้างผลิตเหล็กที่ไม่ได้มาตรฐาน เมื่อผลิตเสร็จก็นำมาตีตราโดยใบอนุญาตของคนไทย แต่เวลาขายคนจีนเอาไปขายเพื่อให้ได้เงิน ส่วนแบ่งกัน”

คุณฐิติภัสร์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า การติดสินบนเพื่อให้ลักลอบนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ และ ฝุ่นแดง หรือฝุ่นจากกระบวนการเตาหลอมเหล็ก เข้ามา กระบวนการเริ่มจากนักธุรกิจชาวจีนรับบทเป็นตัวแทนซื้อฝุ่นแดงในประเทศตนเองเพื่อจะนำไปกำจัดให้ ซึ่งปลายทางที่จะใช้กำจัดก็คือไทย พวกเขาจะนำฝุ่นตัวนี้เข้ามาในประเทศของเราผ่านการจ่ายเงินพิเศษซึ่งคือเงินสินบนใต้โต๊ะ จากนั้นนำเข้าโรงงานรีไซเคิลและหลอมส่งออกไปขายต่อต่างประเทศ สิ่งที่เหลือไว้ในไทยคือมลพิษและขยะ ซึ่งกล่าวกันตามตรงกระบวนการทั้งหมดตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางล้วนแต่ผิดกฎหมายทั้งสิ้น จึงเป็นที่มาของ ‘จีนเทา’ หรือ ‘จีนศูนย์เหรียญ’ ที่ได้ยินกัน

ขณะที่ คุณเพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อํานวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ชี้ว่า ‘ปัญหาจีนเทาคืออาชญากรรมทางสิ่งแวดล้อมและสังคม ถ้าปล่อยทิ้งไว้ในระยะยาวอาจจะก่อความเสียหายและสร้างความสั่นคลอนต่อเสถียรภาพของประเทศไทยหนักมาก โดยในระดับชุมชนพบว่าชุมชนได้รับผลกระทบจากมลพิษอุตสาหกรรมอย่างน่ากังวล เพราะมีปัญหากการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมหนักในหลายพื้นที่ แล้วในแต่ละพื้นที่ไม่สามารถจับตัวการได้เลย หรือจับผู้กระทำผิดไม่ได้เลย มีความยุ่งยากซับซ้อนในการเอาผิดกับเจ้าของกากหรือผู้ที่ขนส่งมาลักลอบทิ้ง และผู้ที่รับกากไปบำบัดแล้วทำผิดไม่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะกรณีของเศษพลาสติก ขยะอิเล็กทรอนิกส์ และขยะอันตรายบางรายการ

คุณเพ็ญโฉม อธิบายถึงต้นตอของปัญหาจีนเทาเพิ่มเติมในเชิงบริบทแวดล้อมว่า “ช่วงปี 2559 – 2560 จีนเริ่มขยับปรับนโยบายการจัดการสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเนื่องจากต้องเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่หลากหลายทั้ง PM2.5 มลพิษทางน้ำ อีกทั้งยังเป็นแหล่งรับขยะจากประเทศอื่นเอาไว้สูงมาก ขณะที่นานาชาติก็ประนามจีนว่าเป็นต้นตอของวิกฤติสิ่งแวดล้อมหลายเรื่อง ทำให้จีนต้องดำเนินมาตรการจัดการที่เข้มข้นเพื่อให้สามารถจัดการสิ่งแวดล้อมได้ดี โดยพุ่งเป้าไปที่ตัวการสำคัญนั่นคือ ‘ขยะ’ ทั้งสั่งให้มีการปิดโรงงานรีไซเคิลกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ ปิดท่าเรือเพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้าขยะจากต่างประเทศ และมีการทำหนังสือถึงองค์การการค้าโลกเพื่อชี้แจงปัญหาขยะข้ามแดนที่กระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของคนภายในประเทศ ซึ่งเป็นการแสดงออกเพื่อโต้กลับกรณีที่สหรัฐอเมริกาประท้วงว่าการที่จีนปิดกั้นไม่ให้มีการนำเข้าขยะหรือการจัดการขยะข้ามเเดนเป็นการขัดขวางต่อกฎการค้าเสรีที่มีการทำข้อตกลงการค้าเสรีไว้

อย่างไรก็ดี นโยบายปิดกั้นนำเข้าขยะสู่จีน ไม่เพียงแต่กระทบต่อการค้าเสรีต่อประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาเท่านั้น หากแต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ทำให้ขยะจากจีนต้องไหลออกไปหาที่จัดการในดินแดนอื่น ซึ่งหนึ่งในปลายทางที่สำคัญก็คือไทย ต่อประเด็นนี้ คุณเพ็ญโฉม ตั้งข้อสังเกตว่าในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง พบว่าชุมชนในหลายพื้นที่ หลายจังหวัดในไทยเริ่มมีการร้องเรียนเข้ามาที่มูลนิธิบูรณะนิเวศหรือสื่อต่าง ๆ ต่อโรงงานรีไซเคิลที่ตั้งอยู่ใกล้เคียง โดยเฉพาะชุมชนบริเวณจังหวัดระยอง ฉะเชิงเทรา พบว่ามีการร้องเรียนเรื่องการลักลอบขยะอันตรายเข้ามามากที่สุด ซึ่งผลกระทบที่เห็นได้ชัดคือทำลายทั้งแหล่งน้ำและดิน บางพื้นที่ถึงขั้นมีการฟ้องร้องคดีต่อบริษัทหรือโรงงานรีไซเคิลซึ่งบางกรณีเมื่อเข้าสู่กระบวนการศาลก็ตัดสินให้มีความผิดจริง

ด้าน คุณดาวัลย์ จันทรหัสดี ผู้ประสานงานเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากมลพิษอุตสาหกรรม ชี้ให้เห็นอีกมุมต่อปัญหาจีนเทาว่า “บริบทประเทศไทยเองก็เอื้อต่อการลงทุนของต่างชาติ เพราะประเทศเราเปิดกว้างสำหรับลงทุนอยู่มากและขาดการควบคุมจัดการที่ดิน เช่นกรณีวีซ่าต้อนรับชาวจีนเข้ามาอาศัยหรือทำธุรกิจในไทยค่อนข้างให้ง่ายเกิน เปิดช่องให้นักธุรกิจจีนจำนวนหนึ่งนำวีซ่าที่ได้ไปจดทะเบียนนิติบุคคล สามารถซื้อหรือเช่าที่ดิน และยังสามารถขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานซึ่งมีโอกาสเป็นหุ้นที่ถือโดยคนจีน 100% แต่หลังจากนั้นพบว่าพวกเขาไม่ได้ใส่ใจหรือเคารพกฎหมายของไทย เช่นจัดตั้งเครื่องจักรที่ไม่ผ่านการอนุญาต ตรงนี้ทำให้สภาพปปัญหาค่อนข้างซับซ้อนและยุ่งเหยิงมากขึ้น”

คุณดาวัลย์ ยังกล่าวเสริมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นว่า “เมื่อเขาเอาของเสียอันตรายหรือของเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิตซึ่งมีโลหะหนักเป็นองค์ประกอบ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เถ้าจากการหลอม สิ่งเหล่านี้เมื่อนำไปทิ้งเสร็จแล้วก็จะถูกปนเปื้อนออกไปสู่แหล่งน้ำ  ซึ่งหน่วยน้ำของเรามี 3 แห่ง 1. น้ำผิวดิน ถัดจากน้ำผิวดินลงมาก็จะเป็น น้ำใต้ดิน ซึ่งกินรัศมีความลึกเยอะพอสมควร ต่อไปถึง น้ำบาดาล เมื่อน้ำผิวดินปนเปื้อนซึมอยู่น้ำใต้ดินซึ่งหากมีการปนเปื้อนอยู่ที่น้ำใต้ดินอาจจะยังลงไปไม่ถึงน้ำบาดาลที่ลึกมาก ต่อไปน้ำใต้ดินใช้ไม่ได้ ซึ่งคนส่วนใหญ่ในต่างจังหวัดใช้น้ำใต้ดิน นำบ่อตื้น       เมื่อปนเปื้อนแล้วเขาไม่สามารถใช้น้ำเหล่านั้นได้ เมื่อไม่สามารถใช้น้ำเหล่านั้นได้ ต้นทุนชีวิตของเขาเพิ่มขึ้นทันที ต้องซื้อน้ำมาหุงข้าว ซักผ้าไม่ได้เพราะน้ำเหล่านั้นมีสีเหลือง มีคราบของความเป็นกรด มีคราบของโลหะที่มีการปนเปื้อน น้ำเหล่านั้นไปรดต้นไม้ไม่ได้ทำให้ต้นไม้ยืนต้นตาย วัฏจักรเหล่านี้คือการปนเปื้อน


02 – ‘ทุจริตคอร์รัปชัน’ ท่อน้ำเลี้ยงที่ต้องเร่งตัด

เมื่อเห็นและเข้าใจตรงกันแล้วว่าสภาพการณ์และปัจจัยหนุนของ‘ปัญหาขยะพิษข้ามพรมแดน’ นั้นเป็นอย่างไร คำถามต่อเนื่องซึ่งต้องเร่งหาคำตอบคือ “ไทยติดกับดักหรือมีช่องว่างใดทำไมยังไม่สามารถจัดการได้อย่างเด็ดขาด” ติดที่ข้อกฎหมาย นโยบาย หรือการบังคับใช้ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

สำหรับ คุณเพ็ญโฉม มองว่ากฎหมายไทยนั้นมีมากพอและครอบคลุมเกือบทุกมิติของการจัดการแล้ว โดยเห็นว่ามีทั้งพระราชบัญญัติโรงงานที่ใช้ควบคุมการประกอบกิจการของโรงงานซึ่งให้รายละเอียดไปถึงการแบ่งโรงงานเป็นประเภทต่าง ๆ อย่างชัดเจน  มีพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย ที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมเรื่องการจัดการของเสียอันตรายจากภาคอุตสาหกรรมหรือพวกสารอันตรายต่าง ๆ มีประกาศกระทรวงที่ควบคุมการจัดการกากอุตสาหกรรมอันตรายที่เกิดขึ้นจากแหล่งกำเนิดต่าง ๆ และยังมีพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ซึ่งคลุมไปถึงเรื่องการจัดการการประกอบกิจการที่อาจจะก่อให้เกิดอันตรายและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมภายนอกพื้นที่โรงงาน

อย่างไรก็ดี คุณเพ็ญโฉม ชี้ว่าปัญหาคือตรงกฎหมายบางฉบับยังมีช่องโหว่ที่สำคัญซึ่งจับไม่ได้ไล่ไม่ทันคือ ‘การทุจริตคอรัปชัน’ โดยในเรื่องของกากอุตสาหกรรม พบว่าเจ้าหน้าที่หรือข้าราชการที่มีอำนาจในการอนุญาตให้มีการขนย้ายกลับออกจากโรงงาน เจ้าหน้าที่ที่กำกับดูแลเรื่องของขนส่ง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการติดตามตรวจสอบการดำเนินการในการจัดการกาก ล้วนแต่ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักลอบขนกาก/ขยะพิษ มีการเปิดช่องหรือหลบหลีกให้เกิดการตัดราคา และไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างแท้จริง

นอกจากเรื่องกฎหมายแล้ว คุณเพ็ญโฉม ยังเห็นว่าระบบการติดตามรถที่บรรทุกกาก/ขยะพิษก็ถูกออกแบบมาดีแล้วในระดับหนึ่ง เพราะเป็นระบบที่กำหนดให้รถทุกคันต้องติดตั้ง GPS แต่ก็ไปติดตรงเรื่องเดิมอีกคือขาดการกำกับติดตามและตรวจสอบว่าจากต้นทางสู่ปลายทางน้ำหนักเท่ากันหรือไม่ เป็นกากประเภทเดียวกันไหม เมื่อไม่มีการตรวจสอบตรงนี้นี่คือช่องโหว่ใหญ่ที่ทำให้เกิดการทุจริตและก็นำไปสู่การลักลอบทิ้งลักลอบฝังไม่ได้ อีกวิธีหลบเลี่ยงคือรถขนส่งกากสามารถเปลี่ยนรถได้ คันที่ติด GPS ก็ให้ไปตามเส้นทางปกติแต่รถที่รับถ่ายกากต่อก็ขับออกนอกเส้นทาง การจัดการกระบวนการเหล่านี้ต้องอาศัยความจริงจังและโปร่งใสของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกรมอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมจังหวัด ต้องติดตามตรวจสอบทั้งหมด และถ้ามีการพบว่ามีการขนย้ายกากที่ผิดปกติ ก็ต้องมีความเกี่ยวข้องกับตำรวจทางหลวง หรือถ้าหากว่าชาวบ้านพบว่ามีการลักลอบทิ้งกากแล้วชาวบ้านไปแจ้งความและเจ้าหน้าที่ตำรวจรับในการแจ้งความแล้วก็ทำใบแจ้งความแล้วก็ทำสำนวนต่าง ๆ ของอัยการอย่างมีประสิทธิภาพ สุดท้ายการที่จะกระทำผิดในกระบวนการแบบนี้ก็จะน้อยลง

ด้าน คุณฐิติภัสร์ ในฐานะผู้ปฏิบัติงานในภาครัฐ ยอมรับว่าทุจริตคอรัปชันมีอยู่จริงเพราะตอนที่คณะทำงานตรวจการสุดซอยลงพื้นที่ ได้ตรวจสอบทั้งโรงงาน ผู้ประกอบการและการปฎิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรมด้วย โดยหลายกรณีที่พบเรื่องของการลักลอบทิ้งจากอุตสาหกรรมต้องยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ภาครัฐและนักการเมืองท้องถิ่นเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย เช่นที่อำเภอแปลงยาว จังหวัดฉะเชิงเทรา ตรวจพบการลักลอบฟังกากอุตสาหกรรมในพื้นที่ 11 ไร่ พบคราบคล้ายตะกอนจากน้ำมัน ประมาณ 50,000 ตัน ซึ่งเป็นวัตถุอันตรายและมีการปนเปื้อนเข้าไปในชั้นใต้ดินของน้ำด้วย

ในรายละเอียดเชิงลึก คุณฐิติภัสร์ ยังเล่าต่อว่าสิ่งที่ยืนยันได้ว่าเจ้าหน้าที่ภาครัฐมีส่วนเอี่ยวคือสมุดบัญชีที่จ่ายเงินแก่หน่วยงานท้องถิ่นนั้นเป็นเลขบัญชีพร้อมชื่อบัญชีม้า เป็นเลขบัญชีพร้อมชื่อของนักการเมืองท้องถิ่น ตำรวจท้องถิ่น ตำรวจท้องที่ แม้กระทั่งคนจากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดก็มีด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมหรือปล่อยผ่านไปได้จึงได้มีการนำเรียนท่านรัฐมนตรีและคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงหากพบว่ามีการทุจริตก็ต้องนำไปสู่การดำเนินคดีในเรื่องของโทษวินัย


03 – แก้กฎหมาย เอาผิดเด็ดขาด

คุณฐิติภัสร์ เสนอต่อว่าการจะอุดช่องว่างหรือแก้ปัญหาข้างต้นได้อาจต้องเริ่มจากการปรับมุมมองของผู้บังคับใช้กฎหมายว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กแต่กระทบกับความเดือดร้อนประชาชนและสิ่งแวดล้อมวงกว้าง จึงควรเคร่งครัดในการตัดสินคดีความ ขั้นต่อมาคือการทบทวนเรื่องกฎหมายว่าจะเติมหรือแก้ส่วนใดให้ครอบคลุมขึ้นซึ่งช่วงที่ผ่านมารัฐมนตรีก็ได้ทบทวน พ.ร.บ.โรงงาน แล้ว มีสาระสำคัญที่จะเพิ่มเติมคือการเพิ่มโทษแก่คดีการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 2 ปี ให้กับคนที่เกี่ยวข้องเรื่องนี้ และปรับตั้งแต่ 200,000 ถึง 20,000,000 ขณะเดียวกัน ร่าง พ.ร.บ.กากอุตสาหกรรม ฉบับใหม่ ก็กำลังถูกผลักดันเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งหากสำเร็จจะมาช่วยกำกับดูแลตั้งแต่เรื่องของผู้ก่อกำเนิดไปจนถึงปลายทางก็คือผู้รับกำจัดกากอุตสาหกรรม โดยจะมีการปรับเกณฑ์กฎหมายเพื่อให้เข้มข้นขึ้น อีกทั้งจะช่วยกำกับดูแลโรงงานรีไซเคิลทั้งหมดและการทบทวนการออกใบอนุญาตจะต้องทำให้ถูกต้อง

ด้าน คุณดาวัลย์ เห็นด้วยว่าควรปรับแก้กฎหมายโดยเฉพาะการกำหนดให้การลักลอบ/ฝังกลบกากและขยะพิษซึ่งเป็นความผิดฐานสิ่งแวดล้อมและการก่ออาชญากรรมทางสิ่งแวดล้อมให้กลายเป็นความผิดฐานฟอกเงินด้วย ขณะเดียวกันการกระทำความผิดของทุนต่างชาติจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าไม่มีคนไทยเอื้อ ดังนั้นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อการกระทำความผิดหรือเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการกระทำความผิดต้องนำบุคคลเหล่านั้นเข้ามารับโทษด้วย ให้มีการยึดทรัพย์ ไม่เช่นนั้นคนกลุ่มนี้ก็จะกระทำความผิดซ้ำอีก

นอกจากนี้ คุณดาวัลย์ เสนอว่ากระทรวง/กรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องควรเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจังในการแก้ปัญหานี้ โดย กรมศุลกากรต้องเคร่งครัดในการเปิดด่านหรือใช้เส้นทาง มีการตรวจเช็กสิ่งที่ผ่านด่านต่าง ๆ อย่างละเอียด ต่อมาคือกระทรวงพาณิชย์ มีเรื่องการจดทะเบียนนิติบุคคลที่ต้องจัดการให้ชัดเจน ประกาศการห้ามนำเข้าที่ต้องออกด้วยกระทรวงพาณิชย์ก็ต้องมาถกกันเพราะว่าเป็นทางเปิดประตูที่ให้กาก/ขยะมลพิษเข้ามาได้ รวมถึงกระทรวงสาธารณสุขซึ่งจะรับผิดชอบ พ.ร.บ. กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ถ้ามีโรงงานแล้วแล้วไม่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ก็ต้องมีมาตรการที่ชัดเจน

คุณเพ็ญโฉม ให้ความเห็นว่าไปในทิศทางเดียวกันคือการแก้ไขพระราชบัญญัติโรงงานหรือพระราชบัญญัติอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการผลักดันให้เกิดพระราชบัญญัติกากอุตสาหกรรม เป็นความหวังในรูปแบบหนึ่งที่เราต่างรอให้มีผลบังคับใช้จริงแต่ก็ควรมีการแก้กฎหมายพระราชบัญญัติว่าด้วยเรื่องของการฟอกเงินเพื่อเอาผิดกับอาชญากรรมด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มที่ด้วย อย่างน้อย ๆ ก็ต้องรับผิดชอบ ในสิ่งที่เขาทำไว้ เละยังต้องมีการแก้พระราชบัญญัติสิ่งแวดล้อมซึ่งมีการแก้มานานเท่าที่จำได้ตัวร่างพระราชบัญญัติสิ่งแวดล้อมที่อยู่ในชั้นของกฤษฎีกาแล้วออกมาผ่านไปประมาณเกือบ 6 ปีแล้ว ตัวแก้ไขก็ยังไม่มีการพิจารณาและยังไม่มีการประกาศใช้ ซึ่งการแก้ไขตรงนั้นจะช่วยให้หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมมีอำนาจเด็ดขาด รวมถึงการเพิ่มการเปิดเผยข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งการเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะในเรื่องการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ


04 – ข้อคิดเห็นเพื่อการพัฒนาเกี่ยวกับทีมสุดซอย

คุณดาวัลย์ เผยว่าดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับทีมสุดซอย จากที่ได้ร่วมงานกับทีมสุดซอยมีการสะท้อนปัญหาในพื้นที่จริงให้ระดับผู้บริหารได้เล็งเห็น ส่งผลให้เกิดการผลักดันในการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่เข้าใจถึงปัญหาอย่างแท้จริง  เพราะเดิมทีผู้บริหารระดับรัฐมนตรีหรือคณะทำงานอาจมองไม่เห็นถึงปัญหามากนัก ไม่เข้าใจว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น ซึ่งการทำงานของทีมสุดซอยทำให้เราได้เข้าใจและนำปัญหาในพื้นที่จริงไปนำเสนอต่อรัฐมนตรีหรือกระทรวงตามที่ได้ไปเห็นมา 

ดังนั้นในการทำงานด้านการเปลี่ยนแปลง ย่อมคาดหวังว่าจะสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่เป็นไปได้ให้เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งเป็นความหวังของคนทำงานทุกคนยิ่งเรเป็นคนที่ได้ลงไปในพื้นที่ไปเห็นถึงปัญหาและพบว่ามันยังไม่ถูกแก้ไขเราก็หวังเป็นแรงขับเคลื่อนให้สังคมมองเห็นปัญหานั้น การดำรงอยู่ของ “ทีมสุดซอย” จึงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยให้หลายชุมชนซึ่งเผชิญปัญหาได้รับความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง เพราะหากปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข และปล่อยให้มันกัดกร่อนสังคมไปเรื่อย ๆ อาจจะลุกลามทั้งประเทศได้ 

ขณะที่ คุณเพ็ญโฉม แสดงความคิดเห็นว่าการทำงานเรื่อง “มลพิษ” ส่วนใหญ่ความเดือดร้อนของชุมชนอาจไม่ได้มาจากสิ่งแวดล้อม กลิ่น เสียง หรือน้ำเน่าเสียเท่านั้น แต่ปัจจุบันปัญหาลุกลามไปถึงการคุกคามผู้ที่กล้าร้องเรียน ที่มาทั้งจากกลุ่มทุนจีนเทาและเจ้าหน้าที่บางส่วน เนื่องจากกระบวนการร้องเรียนต้องผ่านลำดับชั้น ทำให้เรื่องมักถูกตัดตอนตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งบางครั้งหน่วยงานท้องถิ่นก็เลือกเพิกเฉยต่อการกระทำผิดของโรงงานอุตสาหกรรมเหล่านี้

ฉะนั้น การมี “ทีมสุดซอย” จึงเหมือนความหวังของชาวบ้าน เพราะเดิมทีการที่ชาวบ้านจะร้องเรียนเรื่องไปยังสื่อมวลชนนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ทำได้ง่าย ทีมสุดซอยจึงเป็นความหวังสำคัญและต้องคิดให้รอบคอบว่าหากนำปัญหาเหล่านี้มาเปิดเผยชาวบ้านจะปลอดภัยหรือไม่ เพราะอิทธิพลและการคุกคามนั้นมีอยู่จริง และบั่นทอนกำลังใจอย่างรุนแรง พูดง่าย ๆ คือ เมื่อใครก็ตามต้องเผชิญกับปัญหาเหล่านี้ ชีวิตย่อมไม่อาจสงบสุขได้จนกว่าปัญหาจะถูกแก้ไข หากหน่วยงานราชการ ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังคงเพิกเฉย ชาวบ้านก็จะอยู่กันอย่างยากลำบาก และพื้นที่เหล่านั้นก็จะกลายเป็น “พื้นที่ร้อน” ที่เดือดระอุอยู่ตลอดเวลา

เพื่อให้เกิดความยั่งยืนเราต้องเข้าใจปัญและความเป็นจริงมันของพื้นที่ ขณะเดียวกันอีกประเด็นที่อยากเน้นย้ำคือเรื่องศูนย์เหรียญและเขตปลอดอากร โดยความหมายแล้ว ศูนย์เหรียญก็เปรียบเหมือนกับการที่คนเข้ามาตัวเปล่าแต่หิ้วของกลับไป โดยไม่ได้แบกรับภาระใด ๆ เลย แต่ประเทสไทยกลับต้องแบกภาระทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องมลพิษ เช่น กรณีที่ได้ร่วมงานกับทีมสุดซอยเข้าไป หากเราไม่ตามเข้าไป เราจะไม่มีสิทธิ์เข้าไปเลย เพราะเขาไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าพื้นที่ หรือแม้แต่ข้าราชการจากกรมอุตสาหกรรม บางครั้งถึงขั้นไปถึงหน้าโรงงานก็ยังไม่สามารถเข้าด้านในได้ ต้องขอหมายศาลเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ดังนั้นประวัติศาสตร์มีให้เห็นข้าราชการหลายคนเกิดความกลัวอิทธิพลของโรงงาน หากไม่แข็งแรงพอในการดำเนินงาน การทำงานของพวกเขาจึงเป็นเรื่องยาก จนบางครั้งก็เลือกที่จะ “รับเงินจากโรงงานแล้วเงียบไป” ขณะเดียวกันเรื่องเขตปลอดอากรนั้น จริง ๆ แล้วไม่ควรมีโรงงาน แต่ปัจจุบันมีเกิดขึ้นมากกว่า 100 แห่ง กลายเป็นช่องทางให้นำเข้าขยะ โดยเฉพาะขยะอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อคัดแยก รีไซเคิล และส่งออกต่อไปตามข้อกำหนดที่ว่า สิ่งของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยตรงนำเข้าไม่ได้ แต่หากนำเข้าผ่านเขตปลอดอากร มีการคัดแยก ตามกระบวนการรีไซเคิล แล้วสามารถต้องถูกส่งออกนอกประเทศเท่านั้น 

เมื่อฟังเช่นนี้เหมือนจะมีความเป็นธรรมเกิดขึ้น แต่แท้จริงแล้วประเทศไทยไม่ได้ประโยชน์ใดเลย เพราะท้ายที่สุดขยะ มลพิษ น้ำ ไฟ และน้ำเสีย กลับถูกทิ้งไว้ที่เรา ขณะที่ของดีกลับถูกส่งออกไป ประเทศไทยแทบไม่ได้รายได้จากการนำเข้าและส่งออกสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นเขตปลอดอากรจึงไม่ต่างจากนิคมศูนย์เหรียญ กล่าวคือ นำเข้ามาไม่เสียภาษี และส่งออกก็ไม่เสียภาษี ส่วนประโยชน์ที่ประเทศไทยได้จริง ๆ มีเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับปัญหาที่ต้องแบกรับ ซึ่งเรื่องนี้อาจต้องเรียนถามกระทรวงการคลังและกรมศุลกากรว่าคิดเห็นเช่นไร และผลประโยชน์ที่ได้ไปอยู่กับใคร เพราะท้ายที่สุดชาวบ้านโดยรอบเขตปลอดอากรต้องแบกรับปัญหาและความยากลำบากมากมาย 


05 – การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและถาม-ตอบ


คำถาม : “รายได้หรือมูลค่าทางเศรษฐกิจจากการนำเข้าขยะเหล่านี้เข้ามามีมูลค่ามากขนาดไหน และทำไมเราจึงต้องเปิดประเทศเพื่อนำสิ่งที่เป็นพิษเข้ามา และเมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุนที่ต้องชดเชยด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย และผลกระทบอื่น ๆ แล้ว สัดส่วนเป็นอย่างไร นอกจากนี้ มีหน่วยงานใดในระดับบอร์ดของประเทศหรือผู้มีอำนาจคนใดที่รับผิดชอบดูแลเรื่องนี้โดยตรง?”


คุณฐิติภัสร์ ตอบคำถามนี้ว่ารายได้ของโรงงานรีไซเคิลเคยมีการประมาณการคร่าว ๆ ไว้ว่าอยู่ราวประมาณ 10,000 ล้านบาท แต่เงินจำนวนนี้ไม่ได้เข้าสู่ประเทศไทยทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น ในพื้นที่ “ฟรีโซน” ขยะถูกนำเข้ามาคัดแยกในประเทศ และสุดท้ายส่งออกไป สิ่งที่ประเทศไทยได้จริง ๆ คือเพียงค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าเช่าสถานที่ แต่ไม่ได้รับมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง แต่สิ่งที่ได้กลับมาอย่างแน่นอนคือ “มลพิษและขยะ” ซึ่งไม่คุ้มค่ากับผลกระทบที่ได้รับเลย ทั้งนี้ในประเด็นของฟรีโซน แม้จะมีนโยบายจากรัฐมนตรีให้ตรวจสอบอย่างเข้มงวด แต่ในความเป็นจริงชุดตรวจการสุดซอยมีข้อจำกัดทั้งด้านจำนวนคน แรงกดดัน และการถูกข่มขู่คุกคาม รวมถึงการที่ผู้ประกอบการฟ้องกลับเจ้าหน้าที่ในเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ อย่างไรก็ตาม ในฐานะหัวหน้าทีมสุดซอย เราจำเป็นต้องยืนหยัดและเข้มแข็ง เพราะหากแสดงความกลัวหรือความกังวล ทีมก็จะไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ดังนั้น หากต้องการให้ภารกิจสำเร็จ เราต้องแข็งแกร่งและนำทีมลุยไปข้างหน้า

ยกตัวอย่างให้เข้าใจโดยง่ายกรณีตำบลยกระบัตร จังหวัดสมุทรสาคร ที่มูลนิธิบูรณะนิเวศเคยลงพื้นที่ไปร่วมกับเรา พบว่าโรงงานรีไซเคิลพลาสติกเถื่อน โดยส่วนที่มีมูลค่าอย่างทองแดง ถูกแยกออกส่งต่อไปยังโรงงานรีไซเคิล เพื่อนำไปบดย่อยและส่งออกต่างประเทศ ขณะที่ส่วนที่เหลืออย่างเศษสายไฟและเศษพลาสติก ถูกนำมาผลิตเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิล เพื่อส่งให้กับโรงงานผลิตถุงขยะและโรงงานพลาสติกอื่น ๆ โดยกองขยะที่พบมีประมาณ 2,000 ตัน มูลค่ากว่า 200 ล้านบาท หากลองคำนวณโดยประมาณจะเห็นได้ชัดว่าตลอดทั้งปี ประเทศไทยต้องสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่เราอนุญาตหรือเปิดประตูให้นำเข้ามานั้นไม่คุ้มเลย ขณะเดียวกันประเทศไทยก็มีเป้าหมายในการสนับสนุน เศรษฐกิจหมุนเวียน ผ่านการทำโรงงานรีไซเคิลที่ได้มาตรฐาน สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ และเปิดโอกาสการจ้างงาน ทว่าความจริงเรายังดำเนินงานไม่ถึงตรงนั้น เพราะด้วยปัญหาเดิมยังคงอยู่เรายังเปิดประตูให้ใครก็ได้เข้ามาลงทุน โดยแทบไม่ต้องแบกรับต้นทุนใด ๆ เลย

นั่นคือสาเหตุที่ทำให้รัฐมนตรีต้องมี “ชุดสุดซอย” ลงไปตรวจสอบอย่างจริงจัง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น “ไม่ได้มาตรฐาน” โรงงานหลายแห่งถึงขั้นต้องไลฟ์เปิดให้สังคมรับรู้ แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการจัดการปลายทาง เพราะแท้จริงแล้วต้นทางของปัญหา คือการเปิดเสรีอย่างไร้การควบคุมตั้งแต่ต้น เช่นนั้นแล้วจากที่ประเทศไทยจะเดินไปสู่ภาพฝันอย่างประเทศญี่ปุ่น คือการมีโรงงานรีไซเคิลสร้างนวัตกรรมล้ำสมัย แต่กลับต้องเผชิญความจริงว่าสิ่งที่มีเป็นเพียง โรงงานที่ต่างประเทศไม่เอาแล้ว เครื่องจักรที่ถูกแบนแล้ว ถูกนำมาตั้งในบ้านเรา เรื่องนี้จึงเป็นโจทย์สำคัญที่ต้องได้รับการปรับปรุงและแก้ไขอย่างเร่งด่วน ซึ่งได้ถูกเสนอไปยังปลัดและรัฐมนตรีแล้ว เพื่อให้ประเทศไทยไม่ตกอยู่ในวังวนของปัญหาเดิม


คำถาม : ในการปรับเปลี่ยนกฎหมาย จริงหรือไม่ว่าเราไม่สามารถยุติการนำเข้าขยะจากต่างประเทศได้เลย แม้ว่าการจัดการขยะภายในประเทศอาจต้องค่อยเป็นค่อยไป แต่เหตุใดจึงยังต้องเปิดประตูรับขยะใหม่เข้ามา เราไม่สามารถถอดบทเรียนจากกรณีของประเทศจีน ที่สามารถจัดการปัญหานี้ได้สำเร็จ แล้วนำมาประยุกต์ใช้กับประเทศไทยได้หรือไม่?


คุณฐิติภัสร์ ตามที่เรียนข้างต้นว่ารัฐมนตรีมีแผนจะออกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม โดยอยู่ระหว่างการจัดทำร่าง ซึ่งต้องผ่านขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ และนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 3 – 8 เดือน เพื่อดำเนินการระงับใบอนุญาตประเภท 105 และ 106 ในพื้นที่นำร่อง 7 จังหวัดก่อน แต่ขณะเดียวกันก็จะเพิ่มเงื่อนไขในท้ายใบอนุญาตสำหรับจังหวัดอื่น เนื่องจากกลัวว่าเมื่อเกิดการระงับในจังหวัดนำ แต่ผลจะไปเกิดที่จังหวัดอื่นแทน ซึ่งเงื่อนไขที่จะเพิ่มเติมขึ้น อาทิ การทำรายงานเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA)  การรับฟังความเห็นของประชาชนในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่บางส่วนยังกังวลเรื่อง พระราชบัญญัติอำนวยความสะดวกที่อาจขัดกับข้อกฎหมายบางประการ ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ 

ดังนั้นสิ่งที่เราพยามผลักดันคือการปรับปรุงพระราชบัญญัติโรงงาน และพระราชบัญญัติกากอุตสาหกรรม เพราะเราเชื่อว่าการผลักดันเรื่องโรงงานรีไซเคิลเถื่อน โรงงานตกเกรด หรือโรงงานที่ต่างประเทศไม่ยอมรับเองก็ควรจะต้องออกไปให้หมด จึงจะเกิดโรงงานรีไซเคิลที่ได้มาตรฐานขึ้น ถือเป็นปลายทางของส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนที่อยากให้เกิดขึ้น


คำถาม : มีหน่วยงานใดเคยลงพื้นที่ตรวจสอบผลกระทบด้านสุขภาพของประชาชนรอบโรงงานเหล่านี้หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง ปัญหาสุขภาพของผู้หญิง หรือโรคอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากมลพิษ เมื่อเปรียบเทียบก่อนเกิดปัญหามีผลกระทบที่เกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด


คุณฐิติภัสร์ ระบุว่าแท้จริงแล้วเรามีคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่ควรจะสามารถทำงานเชิงรุกมากกว่านี้ เพราะคณะกรรมการชุดนี้มีหลายกระทรวง หลายหน่วยงานเข้าร่วม อีกทั้งยังมีคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมประจำจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน และอุตสาหกรรมจังหวัดทำหน้าที่เลขานุการ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เคยมีการตรวจสุขภาพของชาวบ้านในพื้นที่ล่วงหน้า เพื่อนำข้อมูลไปใช้เปรียบเทียบผลกระทบเมื่อเกิดปัญหาขึ้นจริง 

เมื่อกล่าวเช่นนั้นแสดงให้เห็นว่าเราไม่เคยมีการตรวจสุขภาพประชาชนก่อนเกิดเหตุ เพื่อใช้เป็นข้อมูลเปรียบเทียบในภายหลัง ในประเด็นนี้ คุณเพ็ญโฉม ให้คำตอบเพิ่มเติมว่าหลายครั้งที่เราติดต่อหน่วยงานเพื่อขอความช่วยเหลือ ก็ยังติดขั้นตอนหรือเกณฑ์ที่ซับซ้อน โดยเฉพาะในกรณีผู้ป่วยจากโรคที่เกี่ยวกับมลพิษหรือสิ่งแวดล้อม บางกรณีที่เรามองว่าเป็นภาวะฉุกเฉินและต้องได้รับการช่วยเหลือกลับถูกส่งต่อไปโรงพยาบาลท้องถิ่น ไล่ไปตามขั้นตอนทีละชั้น ทำให้ความช่วยเหลือไม่ทันการณ์ ซึ่งการตรวจหาสารพิษในร่างกายก็ทำได้ยาก หากไม่อยู่ในปริมาณสูงมากก็อาจตรวจไม่เจอ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าผู้ป่วยไม่ได้รับผลกระทบกับปัญหาสิ่งแวดล้อมนี้ แต่ทางการแพทย์มักไม่กล้ายืนยันเพราะไม่มีหลักฐานชัดเจน ส่งผลให้การเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพในพื้นที่ที่เผชิญปัญหามลพิษยังเต็มไปด้วยข้อจำกัด ประเทศไทยเองยังล้าหลังมากในเรื่องนี้ นอกจากนี้ เรายังไม่มีตัวกฎหมายว่าด้วยเรื่องการเยียวยา ฟื้นฟู จากปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กระทบต่อสุขภาพ ซึ่งเคยพยายามต่อสู้ แต่เรารู้สึกว่าต้องต่อสู้กับกฎหมายอื่นให้เสร็จก่อน จึงแบ่งงานไปทำร่วมกับอีกองค์กรหนึ่ง และเมื่อไม่มีกรอบกฎหมายด้านสุขภาพที่ชัดเจน ปัญหานี้ก็ถูกละเลยไปเกือบทั้งหมด

ตัวกรณีคดีชาวบ้านในจังหวัดราชบุรี ศาลมีคำพิพากษาให้ชาวบ้านได้รับการเยียวยาความเสียหายทางสุขภาพจากโรงงานแต่ปัญหาคือ คำพิพากษาไม่ได้กำหนดว่าใครเป็นผู้ตรวจ ใครเป็นผู้ดูแล ทำให้ชาวบ้านต้องไปหาหลักฐานทางการแพทย์เอง ซึ่งเป็นเรื่องยากเพราะผลตรวจขึ้นอยู่กับระยะเวลาและปริมาณการสัมผัสสารพิษ ด้วยกรณีเช่นนี้ ทางเครือข่ายจึงไปปรึกษาคุณหมอจากกรมควบคุมโรค ซึ่งช่วยเข้ามาตรวจชาวบ้านประมาณ 700 คน แต่ติดปัญหาเรื่องงบประมาณ ทำให้ต้องหาทุนจากหลายแหล่ง เช่น สปสช. และโรงพยาบาลราชบุรี จนสามารถดำเนินการตรวจได้ อย่างไรก็ตาม อุปสรรคกลับอยู่ที่ขั้นตอนการแปลผลตรวจสุขภาพ คุณหมอที่รับผิดชอบถูกย้ายก่อนจะลงนามยืนยันผล ทำให้คำพิพากษาของศาลแทบไม่มีความหมายในทางปฏิบัติ จะเห็นได้ว่าจากรณีนี้ปัญหาการเยียวยาด้านสุขภาพจากผลกระทบสิ่งแวดล้อมเต็มไปด้วยอุปสรรคเชิงระบบ และเมื่อมองไปที่กลไกต่าง ๆ ก็ล้วนแล้วแต่ไม่สามารถเป็นที่พึ่งพิงได้อย่างแท้จริง

อีกประเด็นในมุมมองทางเศรษฐศาสตร์ เราอยากให้มีการลองศึกษาและประเมินความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย จากกรณีต่าง ๆ ในแต่ละปี เช่น พื้นที่ปนเปื้อนมลพิษ คดีสิ่งแวดล้อม ความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติ พื้นที่สาธารณะ หรือพื้นที่เกษตรกรรม เพราะปัจจุบันยังขาดการศึกษาเชิงเปรียบเทียบ ประเด็นนี้จึงเป็นโจทย์วิจัยที่น่าสนใจสำหรับการกำหนดนโยบายในอนาคต

คุณดาวัลย์ เสริมว่าไม่มีใครกล้าชี้ชัดว่าผลกระทบเหล่านี้เกิดจากมลพิษ เพราะอย่างที่วินโปรเซส หรือ “ลุงเทียบ” ที่อาศัยอยู่ตรงนั้นมานาน ตั้งแต่โรงงานเริ่มดำเนินการก็ได้สัมผัสทั้งอากาศที่มีมลพิษ กลิ่นเหม็น และสารต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย ตัวแกเองพยายามพลิกผันชีวิต โดยเฉพาะการจัดการต้นยางที่ตายไป แกขุดร่องทำเกษตรแบบใหม่ และซื้อดินมาปลูกต้นไม้ใหม่ ทำมาเป็นเวลาประมาณสองปี แต่ดินที่ขุดเป็นกรดอาจสูดดมโดยไม่รู้ตัว แม้สิ่งที่เกิดขึ้นไม่สามารถพิสูจน์ได้ชัดเจน แต่ปัจจุบันไตของแกเริ่มมีปัญหา และชาวบ้านในพื้นที่ก็รายงานว่ามีผู้ป่วยโรคไตจำนวนมาก สิ่งที่น่าเศร้าคือ ผู้ที่ได้รับผลกระทบกลับต้องเป็นฝ่ายพิสูจน์เองว่าอาการหรือโรคเหล่านี้เกิดจากการกระทำของใคร


จากที่คำตอบของทั้ง 3 ท่าน เกิดเป็นคำถามว่าภาควิชาการอยู่ตรงไหนในการแก้ปัญหาเหล่านี้ และภาควิชาการควรมีบทบาทอย่างไรบ้างในการขับเคลื่อน สนับสนุน และสร้างผลกระทบเชิงสังคมในประเด็นสิ่งแวดล้อมและสุขภาพนี้

รศ. ดร.นิรมล จากที่กล่าวข้างต้นถึงนโยบายชาติในทิศทางของ secular economy หลักการคือ ขยะเกิดที่ไหนก็ต้องกำจัดที่นั่น ไม่ควรส่งไปยังจังหวัดอื่น หรือรับขยะจากต่างประเทศ ยกเว้นขยะขนาดใหญ่ที่อาจมีศูนย์กลางจัดการเฉพาะแห่งในประเทศ แนวทางนี้ถูกต้อง แต่ก็มีช่องว่างตามที่หลายท่านได้กล่าวมา ดังนั้นเมื่อพิจารณาในแง่โจทย์วิจัย ประเทศไทยมีงานวิจัยและกฎหมายรองรับหลายเรื่อง เช่น นโยบาย Zero Waste พระราชบัญญัติอุตสาหกรรม พระราชบัญญัติขยะอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงงานวิจัยที่เสนอแนวทางแบนการนำเข้าสินค้าอันตราย แต่ปัญหาสำคัญคือ Pain Point ของนักวิจัย เพราะเราความจำเป็นต้องรู้ผลเสียที่เกิดขึ้นก่อน ทำให้งานวิจัยเชิงป้องกันยังทำได้จำกัด งานวิจัยส่วนใหญ่จึงตรวจสอบและติดตามผลหลังเกิดปัญหาเท่านั้น ดังนั้น ในการแก้ปัญหาสิ่งที่ควรทำ คือกระทรวง ทบวง กรม หรือภาควิชาการเข้ามามีบทบาทในการศึกษาวิจัยและเก็บข้อมูลพื้นฐานด้านสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสุขภาพประจำปีหรือการเก็บข้อมูลโรคต่าง ๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะกับโรงงานเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับภาคเกษตร เช่น การใช้สารเคมี การฉีดใช้ยากำจัดแมลงในครัวเรือนที่สามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด อย่างน้อยการมีข้อมูลพื้นฐานที่จะช่วยสร้างมาตรการรองรับ หากมี ‘โจ๊กเกอร์’ หรือปัจจัยแปลกใหม่เข้ามาในพื้นที่ เช่น โรงงานอุตสาหกรรมที่ไม่คุ้นเคย ก็สามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวเป็นฐานในการพิจารณาและวางมาตรการที่เหมาะสมแก่พื้นที่

นอกจากนี้ รศ. ดร.นิรมล ขยายความต่อว่าในด้านการวิจัย แม้ปัจจุบันจะมีงานศึกษาด้านสารพิษอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่เป็นงานที่ออกมาในลักษณะตามหลังปัญหา ทำให้ยากต่อการใช้เป็นเครื่องมือเชิงป้องกัน อีกทั้งข้อจำกัดด้านกระบวนการ เช่น การขออนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรม หรือข้อผูกพันด้านงบประมาณจากกองทุนวิจัย ทำให้การปรับหัวข้อไปสู่การวิจัยเชิงอย่างเร่งด่วนนั้นทำได้ยาก จึงจำเป็นต้องมีการผลักดันให้เกิดงานวิจัยเชิงป้องกันที่รวดเร็วและสื่อสารได้จริงกับสังคม เพราะปัญหาที่เห็นชัด คืองานวิชาการจำนวนมากถูกเผยแพร่ในวารสารหรือแพลตฟอร์มที่ชาวบ้านทั่วไปเข้าไม่ถึง ขณะที่หน่วยงานอย่าง สกสว. และองค์การระหว่างประเทศ เช่น ยูเนสโก ได้เสนอแนวทางสร้าง ‘องค์ความรู้แบบเปิด’ ที่ถ่ายทอดเนื้อหาเป็นภาษาที่ชุมชนเข้าใจง่าย และสื่อสารตรงไปยังพื้นที่เสี่ยง เช่น กรณีโรงงานอุตสาหกรรมที่อาจปล่อยสารพิษ หากมีข้อมูลพื้นฐานและการสื่อสารที่เข้าถึงได้ จะช่วยให้ประชาชนรับรู้ความเสี่ยงและร่วมเฝ้าระวังได้ทันที

รศ. ดร.นิรมล  เน้นย้ำว่าปัจจุบันเราจึงพยายามทำการศึกษาวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมเข้าถึงง่ายขึ้น และไม่จำกัดอยู่เฉพาะในวงวิชาการเท่านั้น แม้นักวิชาการสามารถทำงานด้านการป้องกันและวิเคราะห์ข้อมูลได้ แต่การติดตามและประเมินผลจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันทำได้ง่ายขึ้น เช่น การถ่ายภาพและส่งข้อมูลมาเก็บที่ศูนย์กลางข้อมูล (Data Center) เพื่อตรวจสอบความผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์น้ำที่จับได้ พืชผล หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว สิ่งนี้จะช่วยให้ประชาชนกลายเป็น ‘นักวิจัยภาคประชาชน’ โดยไม่ใช่การกล่าวโทษใคร แต่เป็นการสร้างระบบเฝ้าระวังร่วมกัน ซึ่งสิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือการสร้างความเข้าใจเชิงป้องกัน โดยหน่วยงานอย่าง สกสว. มองว่า ต้องแปลงความรู้เชิงวิชาการเรื่องสารตกค้างหรือสารพิษให้อยู่ในภาษาที่ประชาชนเข้าใจได้ เช่น สาร DDT หรือสารเคมีที่ใช้แล้วตกค้างในร่างกายมีอันตรายอย่างไร และทำไมควรระวัง หากถ่ายทอดความรู้เหล่านี้อย่างตรงไปตรงมา จะช่วยให้ประชาชนมีข้อมูลและพร้อมส่งข้อมูลกลับเข้าสู่ระบบเฝ้าระวัง

ขณะเดียวกันในเชิงปฏิบัติ เราจำเป็นต้องสร้าง ‘แพลตฟอร์มความรู้แบบเปิด’ ที่เชื่อมโยงงานวิจัยกับการใช้งานจริง นักวิชาการสามารถนำผลงานมาวาง ประชาชน หน่วยงานรัฐ มูลนิธิ หรือภาคเอกชนสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการอนุมัติโรงงานหรือกิจการที่อาจก่อผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมโรงงานอุตสาหกรรม หรือกรมศุลกากรเอง ก็ต้องได้รับองค์ความรู้พื้นฐานเพื่อตรวจสอบว่าสารเคมีหรือสารพิษที่เกี่ยวข้องมีความเสี่ยงอย่างไร นอกจากนี้ ความท้าทายในงานวิจัยก็ยังคงมีอย่างการเชื่อมโยงงานวิจัยกับภาคกฎหมายและนโยบายสาธารณะ เช่น กรณีที่มีการฟ้องร้องด้านสิ่งแวดล้อมในศาล จำเป็นต้องมีนักวิจัย นักกฎหมาย และหน่วยงานรัฐร่วมกันเก็บข้อมูล ตีความ และใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในการตัดสิน เพราะปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่ได้กระทบเพียง “คนคนเดียว” แต่มีผลต่อสังคม ระบบเศรษฐกิจ และความหลากหลายทางชีวภาพโดยรวม 

ท้ายที่สุด รศ. ดร.นิรมล กล่าวว่าการดำเนินงานวิจัยให้เกิดความยั่งยืน จำเป็นต้องมองแบบองค์รวม (systemic approach) ครอบคลุมทั้งสิ่งแวดล้อม สุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม ไม่ผูกติดกับบุคคลหรือช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่ง แต่ต้องสร้างเป็นกลไกถาวร ภายใต้สถาบันที่มั่นคง เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของประเทศในอนาคตอีกด้วย

เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีที่มีการฟ้องร้องขึ้นสู่ศาล สกสว. มีแนวโน้มที่จะให้ความสนใจหรือสนับสนุนการวิจัยในประเด็นเหล่านี้ด้วยหรือไม่

รศ.ดร.นิรมล ตอบประเด็นนี้ว่ากองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือที่เรียกกันว่า สกสว. ทำหน้าที่เสมือนกลไกกลางของประเทศในการกำหนดทิศทางและยุทธศาสตร์ด้านการวิจัย ไม่ได้ทำการวิจัยเองโดยตรง แต่เป็นผู้วางนโยบาย กำหนดกรอบประเด็นสำคัญ แล้วจัดสรรงบประมาณลงไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัย หน่วยงานราชการ กรม กระทรวง หรือแม้แต่มูลนิธิที่มีพันธกิจด้านการวิจัย  อย่างไรก็ดี การวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมมักถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นลำดับต้น ๆ เช่น ประเด็น มลพิษทางอากาศ PM2.5 มลพิษทางน้ำ หรือแนวทาง Zero Waste ซึ่งผลงานบางส่วนสามารถนำไปใช้กำหนดมาตรการหรือมาตรฐานได้จริง เช่นเดียวกับการกำหนดค่ามาตรฐานควบคุม PM2.5 ที่เกิดจากงานวิจัยที่ได้รับทุนสนับสนุนโดยตรง แต่ในทางกลับกัน งานวิจัยด้านสุขภาพ โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับแม่และเด็ก ภาวะฉุกเฉิน หรือผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว กลับเป็นเรื่องที่ซับซ้อนกว่ามาก เพราะต้องอาศัยเวลานานในการเก็บข้อมูลและติดตามผล การวิจัยเชิงสุขภาพจึงไม่สามารถสรุปผลได้ภายใน 1–2 ปีเหมือนกับงานด้านสิ่งแวดล้อมบางประเด็น 

โดยจุดแข็งของสกสว. คือการเป็นศูนย์กลางในการชี้ทิศทางวิจัยของประเทศ ช่วยยกระดับงานวิจัยให้มีบทบาทต่อการกำหนดนโยบายสาธารณะ ขณะเดียวกันจุดอ่อนก็ยังคงปรากฏชัด ทั้งในเรื่องการส่งต่อผลงานวิจัยที่ยังไม่ต่อเนื่อง และข้อจำกัดเชิงระบบราชการที่ทำให้การปรับเปลี่ยนงบประมาณหรือแผนวิจัยล่าช้า เช่น การรอคอยงบประมาณในปี 2570 ที่ต้องผ่านหลายขั้นตอนกว่าจะถึงมือผู้วิจัย ทั้งหมดนี้สะท้อนคำถามสำคัญที่ยังคงค้างคาอยู่ว่าจะทำอย่างไรให้งานวิจัยที่ได้รับทุนสามารถนำไปใช้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่สะดุดด้วยข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของระบบราชการไทย


06 – บทสุดท้าย


การที่ผู้ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมเป็นผู้หญิงทั้งหมด มีข้อได้เปรียบหรือเสียเปรียบอย่างไรบ้าง

คุณดาวัลย์ กล่าวว่าต่อสู้ในประเด็นสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่ปี 2541 เธอรู้สึกว่าความเป็นผู้หญิงให้คุณค่าในด้านการปกป้อง ไม่ว่าจะเป็นลูก ครอบครัว หรือชุมชนที่ทำงานด้วย ทุกพื้นที่ที่เธอเข้าไป ผู้คนปฏิบัติต่อเธอเหมือนพี่น้องหรือญาติ ทำให้รู้สึกว่าได้ช่วยบรรเทาความทุกข์ของผู้คนไปในระดับหนึ่ง ความเป็นผู้หญิงไม่ได้ทำให้เธออ่อนแอ แต่กลับเสริมให้เธอเข้มแข็งและมีความมุ่งมั่น ย้อนกลับไปเมื่อ 26 ปีก่อน ตอนที่เริ่มต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อม บทบาทของผู้หญิงและผู้ชายยังถูกแบ่งแยก สังคมในช่วงนั้นยังตั้งคำถามว่า ผู้หญิงจะสามารถลุกขึ้นมาเป็นแกนนำหรือนำการต่อสู้ได้หรือไม่ แต่ปัจจุบันแนวคิดเหล่านั้นลดน้อยลงมาก ความเป็นผู้หญิงไม่ได้หมายถึงความอ่อนแอ แต่กลับเป็นเรื่องของจิตใจที่ต้องเข้มแข็ง ไม่ว่าสถานะหรือบทบาทใดที่เราจะดำรงอยู่

ส่วน คุณเพ็ญโฉม ได้เสริมว่าจากประสบการณ์การทำงาน ทั้งในประเทศและที่ได้แลกเปลี่ยนกับต่างประเทศ พบว่าผู้หญิงหลายพื้นที่มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อม ผู้หญิงมีความคงเส้นคงวา ความหนักแน่น ทั้งยังต้องเผชิญความท้าทายที่ต้องดูแลครอบครัวควบคู่ไปกับการทำงาน พร้อมกับช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับการเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมในหลายมิติ อย่างไรก็ดี ผู้หญิงถือเป็นกลุ่มเปราะบางอย่างมากในปัญหาสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเช่นการตรวจสอบสารพิษในพื้นที่ฉะเชิงเทรา พบว่าครอบครัวผู้หญิงที่อาศัยใกล้แหล่งทิ้งกากอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบโดยตรง ทั้งสารตกค้างในดินและน้ำ ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อสุขภาพทั้งในปัจจุบันและอนาคต จะเห็นได้ว่าผู้หญิงในการรักษาสิ่งแวดล้อมไม่เพียงแต่สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน แต่ยังเชื่อมโยงกับสุขภาพของประชากร และเป็นตัวแทนในการเฝ้าระวังและวิจัยสารพิษที่อาจส่งผลต่อคนรุ่นถัดไป

คุณฐิติภัสร์ สะท้อนมุมมองของเธอว่าในสังคมปัจจุบันเปิดกว้างมากขึ้น เราเริ่มเห็นบทบาทของผู้หญิงที่กล้าออกมาเป็นแกนนำและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและผลกระทบจากโรงงานอุตสาหกรรม เพราะผู้หญิงมีความหนักแน่น ละเอียดอ่อน และสามารถเป็นผู้นำทางสังคมได้อย่างมีนัยสำคัญ เธอยกตัวอย่างการทำงานของคุณดาวัลย์และคุณเพ็ญโฉม ที่ทุ่มเททั้งเวลาและความใส่ใจ ตรวจสอบโรงงานอย่างรอบคอบ จนกลายเป็นแบบอย่างให้กับผู้ที่ทำงานด้านนี้ในรุ่นต่อ ๆ ไป ความละเอียดและความรอบคอบของพวกเขาถือเป็นข้อได้เปรียบเล็ก ๆ แต่สำคัญในการทำงานต่อสู้เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

ปิดท้ายด้วย รศ. ดร.นิรมล ระบุว่าในมุมมองของนักวิชาการ งานวิจัยเชิงชุมชนมักเข้าถึงผู้หญิงได้ง่ายกว่า เพราะลักษณะบางอย่างของความเป็นแม่และการโอบอ้อมอารี ทำให้สามารถเข้าไปยังครัว ห้องน้ำ หรือพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับเด็กและครอบครัวได้ ซึ่งการที่เราเข้าถึงคนทุกกลุ่มได้ มีผลต่อการสื่อสารเชิงลึกกับผู้หญิงในชุมชนช่วยให้นักวิจัยเข้าใจพฤติกรรมและวิถีชีวิตได้ละเอียดมากขึ้น ซึ่งบางครั้งผู้ชายอาจเข้าถึงพื้นที่เช่นนี้ได้ยาก หรืออาจรู้สึกเกรงใจจากข้อจำกัดบางประการ 

ดังนั้นในงานวิจัยเชิงพื้นที่ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ความร่วมมือระหว่างนักวิจัยหญิงและชายจึงสำคัญผู้หญิงมักเป็นตัวแทนในการลงพื้นที่เพื่อสำรวจผลกระทบต่อครอบครัว แม่ และเด็ก ขณะที่ผู้ชายอาจทำงานได้ดีในห้องปฏิบัติการ วิเคราะห์เอกสาร หรือประมวลผลข้อมูลเชิงตัวเลข ทั้งสองบทบาทเสริมกัน ทำให้การวิจัยมีมิติครบถ้วนและสามารถเข้าใจผลกระทบต่อชุมชนอย่างแท้จริง

แพรวพรรณ ศิริเลิศ และ อติรุจ ดือเระ – เรียบเรียง
วิจย์ณี เสนเเดง – ภาพประกอบ


Author

Exit mobile version