ผศ. ดร. อดุลย์ สมาธิ
สถาบันวิจัยวลัยรุกขเวช มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เคยเกิดขึ้นหลายครั้งตลอดประวัติศาสตร์ของโลก ซึ่งก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตในแต่ละยุค เราทราบถึงเหตุการณ์ในอดีตเหล่านี้จาก หลักฐานทางธรณีวิทยาในรูปของซากดึกดำบรรพ์หรือฟอสซิล ไม่ว่าจะเป็นฟอสซิลพืช สัตว์มีกระดูกสันหลัง หรือสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ซึ่งช่วยสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ และการปรับตัวหรือการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตในช่วงเวลาต่าง ๆ ในอดีต
ข้อมูลจากซากฟอสซิลเหล่านี้มีบทบาทสำคัญต่อความเข้าใจในเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพและการอนุรักษ์ เนื่องจากฟอสซิลให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประวัติของสิ่งมีชีวิตบนโลก การศึกษาฟอสซิลช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต การเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ และรูปแบบของการสูญพันธุ์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญในการกำหนดทิศทางและกลยุทธ์ของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในปัจจุบันและอนาคต
01 – บทนำ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในประวัติศาสตร์โลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อโลกและสิ่งมีชีวิตในแต่ละช่วงสมัย โดยมีหลักฐานเหล่านี้ ในรูปของบันทึกซากดึกดำบรรพ์หรือฟอสซิล [1] ซากดึกดำบรรพ์หรือฟอสซิล คือร่องรอยของสิ่งมีชีวิต ที่ถูกเก็บรักษาไว้ ในรูปของหิน หรือรอยประทับ ตัวอย่างได้แก่ กระดูกและฟันของไดโนเสาร์ที่ถูกแทนที่ด้วยแร่ธาตุและกลายเป็นหิน รอยตีนไดโนเสาร์ ไม้กลายเป็นหิน รอยประทับใบไม้ โดยกระบวนการกลายเป็นฟอสซิลเกิดขึ้นเมื่อสิ่งมีชีวิตตายลง และซากถูกฝังอย่างรวดเร็ว เช่น โดยตะกอนโคลนทราย หรือเถ้าภูเขาไฟ การฝังอย่างรวดเร็วช่วยป้องกันการเน่าเปื่อยและการถูกรบกวนโดยสัตว์อื่น ส่วนที่อ่อนของร่างกายมักจะสลายไป เหลือเพียงส่วนแข็ง เช่น กระดูกฟันเปลือก หรือเนื้อไม้ จากนั้นแร่ธาตุจากน้ำใต้ดินจะซึมเข้าไปแทนที่ส่วนประกอบของสิ่งมีชีวิต แร่ธาตุเช่นซิลิกา แคลไซต์ หรือไพไรต์ แทนที่เนื้อเยื่อเดิมทีละน้อยจนกลายเป็นหินในที่สุด เป็นวิธีที่พบได้บ่อยในฟอสซิลกระดูกสัตว์ และไม้กลายเป็นหิน เป็นต้น (รูปที่ 1)
รูปที่ 1 กระบวนการเกิดฟอสซิล
ที่มารูปภาพ: State Historical Society of North Dakota
02 – หลักฐานจากซากดึกดำบรรพ์
ฟอสซิลพืช
วงปีของต้นไม้โดยปกติจะบันทึกการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศในแต่ละปีและฤดู ซึ่งรวมถึงอุณหภูมิและปริมาณน้ำฝน เช่น ชั้นวงปีที่หนาจะบ่งชี้ถึงปีที่อบอุ่นและมีฝนตก ชั้นวงปีบางจะบ่งชี้ถึงปีที่มีอากาศหนาวเย็นและแห้งแล้ง (รูปที่ 2) โดยทั่วไปพืชในภูมิอากาศที่อบอุ่นมักมีใบขนาดใหญ่และขอบเรียบ ในขณะที่พืชในภูมิอากาศที่เย็นกว่าจะมีใบขนาดเล็กและขอบหยักมากกว่า หลักฐานเหล่านี้ แสดงให้เห็นวัฏจักรของความแห้งแล้งและฝนตกได้ ส่วนละอองเรณูและสปอร์ ซึ่งเป็นส่วนสืบพันธุ์ของพืช ที่ถูกเก็บรักษาไว้ในชั้นหินตะกอน สามารถใช้บ่งชี้ถึงสภาพพืชและสภาพอากาศในอดีตได้ เช่น หากเราพบละอองเรณูของพันธุ์ไม้ป่าเขตร้อนในหินตะกอน จะบ่งชี้ถึงสภาพอากาศในอดีตที่อบอุ่นและชื้น ส่วนละอองเรณูของพืชกลุ่มสนจะบ่งชี้ถึงสภาพอากาศในอดีตที่เย็นและแห้งกว่า สภาพภูมิอากาศครั้งใหญ่ๆในอดีต ที่เปิดเผยโดยฟอสซิลพืช ได้แก่ วัฏจักรยุคน้ำแข็ง (ประมาณ 2.6 ล้านปีที่ผ่านมา) ฟอสซิลละอองเรณูที่ถูกค้นพบแสดงให้เห็นช่วงเวลาสลับกัน ระหว่างการขยายตัวของป่า (ช่วงอบอุ่น) และการหดตัวของป่า (ช่วงเย็น) หลักฐานจากฟอสซิลใบไม้และละอองเรณูบ่งชี้ถึงเหตุการณ์โลกร้อนที่เกิดขึ้นรวดเร็ว พร้อมกับการขยายตัวของพืชเขตร้อน สภาพเรือนกระจกในยุคครีเทเชียส (ประมาณ 100 ล้านปีที่แล้ว) มีระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ CO2 ที่สูง ทำให้ป่าเขตร้อนแพร่หลาย เหล่านี้มาจากหลักฐานจาก ซากฟอสซิลพืชกลุ่มเฟิร์นและปรง [2]
รูปที่ 2 วงปีต้นไม้บอกฤดูน้ำมากน้ำน้อย
ที่มารูปภาพ: Biology Notes Online
ซากดึกดำบรรพ์สัตว์ทะเล
ฟอสซิลสัตว์ทะเลเป็นอีกหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอดีต และการเปลี่ยนแปลงของมหาสมุทรตลอดหลายล้านปี โดยการศึกษาซากสิ่งมีชีวิตในทะเลที่เก็บรักษาไว้ ในชั้นหินตะกอน นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างอุณหภูมิ องค์ประกอบเคมี และรูปแบบการหมุนเวียนของมหาสมุทรในอดีตขึ้นมาใหม่ได้ เช่น ฟอสซิลปะการัง (ตัวบ่งชี้อุณหภูมิและกรดในมหาสมุทร) ปะการังสร้างโครงสร้างแข็งจากแคลเซียมคาร์บอเนต ซึ่งบันทึกเคมีของน้ำทะเลในอดีต เป็นตัวบ่งชี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ วงแหวนการเจริญเติบโตในฟอสซิลปะการัง แสดงให้เห็นถึง ความผันผวนของอุณหภูมิ อัตราส่วนไอโซโทปโบรอนในปะการัง เผยให้เห็นระดับกรดในมหาสมุทรในอดีต (เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของ CO2) เช่น ฟอสซิลปะการังจากแนวปะการังเกรทแบร์ริเออร์รีฟ แสดงให้เห็นหลักฐานของ การเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเลในช่วงยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย (ประมาณ 20,000 ปีก่อน) [3]
นอกจากนี้ ฟอสซิลปลาและสัตว์เลื้อยคลานทะเล การเปลี่ยนแปลงในการกระจายพันธุ์ของปลาและสัตว์ เลื้อยคลานในทะเลที่กลายเป็นฟอสซิล ยังช่วยบ่งชี้ถึงอุณหภูมิและกระแสน้ำในมหาสมุทรที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวอย่างเช่น ฟอสซิลของอิคทิโอซอร์ (สัตว์เลื้อยคลานในทะเล) แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวให้เข้ากับทะเลที่อุ่นขึ้นในช่วงจูแรสซิก (ประมาณ 180 ล้านปีก่อน)
ซากดึกดำบรรพ์สัตว์มีกระดูกสันหลัง
ฟอสซิลสัตว์มีกระดูกสันหลังเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าสัตว์มีการปรับตัวหรือไม่สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศตลอดประวัติศาสตร์ของโลกได้อย่างไร โดยการศึกษาฟอสซิลกระดูก ฟัน รอยตีน และเนื้อเยื่ออ่อนที่เก็บรักษาไว้ในรูปของฟอสซิล นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างสภาพแวดล้อมในอดีตขึ้นมาใหม่ และทำความเข้าใจว่าสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ มีวิวัฒนาการขึ้นอย่างไร เพื่อตอบสนองต่ออุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง ระดับน้ำทะเล และสภาพบรรยากาศ โดยฟอสซิลสัตว์มีกระดูกสันหลังเผยให้เห็นการปรับตัวต่อสภาพอากาศ เช่น การเปลี่ยนแปลงของขนาดร่างกาย ขนาดร่างกายที่ใหญ่ขึ้นช่วยให้สัตว์กักเก็บความร้อนในสภาพอากาศหนาวเย็นได้ ขณะที่ร่างกายที่เล็กลงจะระบายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในสภาพอากาศอบอุ่นในอดีต สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมบางชนิดมีขนาดเล็กลง (เกิดภาวะแคระแกร็น) ดังที่พบในฟอสซิลม้าในยุคพาลีโอซีน-อีโอซีน (ประมา 56 ล้านปีก่อน) หรือหากเราพบฟอสซิลของหมีขั้วโลกในพื้นที่หนึ่ง ซึ่งเราอาจไม่รู้แน่ชัดว่าสภาพภูมิอากาศในตอนนั้นเป็นอย่างไร แต่การมีอยู่ของหมีขั้วโลกก็เป็นหลักฐานที่ชัดเจนมากว่ามันต้องหนาวเย็น
สำหรับสัดส่วนของแขนขาและรยางค์นั้น สัตว์ในสภาพอากาศหนาวเย็นมักจะมีแขนขา หาง และหู ที่สั้นกว่าเพื่อลดการสูญเสียความร้อน ตัวอย่างเช่น แมมมอธขนปุยในยุคน้ำแข็ง มีหูที่สั้นกว่าช้างในปัจจุบัน ในส่วนของฟอสซิลฟัน ฟันสัตว์เผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงด้านอาหารที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของพืชพรรณที่เกิดจากสภาพอากาศ เช่น ทุ่งหญ้าขยายตัว ในช่วงไมโอซีน (ประมาณ 23–5 ล้านปีก่อน) นำไปสู่วิวัฒนาการของฟันที่มีชั้นเคลือบฟัน (crown) สูงในม้า สำหรับกินหญ้าที่เหนียวและอุดมด้วยซิลิกา ฟอสซิลฟันของสัตว์ฟันแทะและไพรเมตก็แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของความหนาของชั้นเคลือบฟันซึ่งสัมพันธ์ตามแหล่งอาหารที่มีอยู่ [4]
การอพยพและการเปลี่ยนแปลงขอบเขต การกระจายตัวของฟอสซิลแสดงให้เห็นว่าสัตว์ชนิดต่าง ๆ อพยพไปที่อื่นเมื่อสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ตัวอย่างเช่นในยุคน้ำแข็ง สัตว์ชนิดต่าง ๆ เช่น ไบซันและแมมมอธ อพยพไปทางใต้เมื่อธารน้ำแข็งขยายตัว และกลับมาทางเหนือเมื่อน้ำแข็งละลาย การสูญพันธุ์เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอย่างรวดเร็ว สัตวบางชนิดปรับตัวไม่ทัน และสูญพันธุ์ไป ตัวอย่างเช่น การสูญพันธุ์ในยุคไพลสโตซีนตอนปลาย (ประมาณ 12,000 ปีก่อน) ทำให้สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมขนาดใหญ่ เช่น เสือเขี้ยวดาบและแรดขนยาว สูญพันธุ์ไป ซึ่งน่าจะเกิดจาก สภาพอากาศที่ร้อนขึ้น และกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การล่า
หลักฐานการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่
การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่เป็นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของโลกที่สิ่งมีชีวิตจำนวนมากสูญพันธุ์ไปในช่วงเวลาทางธรณีวิทยาที่ค่อนข้างสั้น การสูญพันธุ์เหล่านี้หลายครั้งมีความเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง สภาพอากาศอย่างรุนแรง ที่เกิดจากเหตุการณ์ทางธรรมชาติ เช่น กิจกรรมของภูเขาไฟ การชนของดาวเคราะห์น้อย และการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำในมหาสมุทร [5] การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ มีส่วนทำให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ 5 ครั้ง ได้แก่
การสูญพันธุ์ในยุคออร์โดวิเชียน-ไซลูเรียน (ประมาณ 443 ล้านปีก่อน) สาเหตุเกิดจากโลกเย็นตัวลง อย่างกะทันหันและเกิดธารน้ำแข็ง ตามมาด้วยภาวะโลกร้อนอย่างรวดเร็ว ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง สภาพอากาศ แผ่นน้ำแข็งก่อตัวขึ้นบนทวีปกอนด์วานา ทำให้ระดับน้ำทะเลลดลงและเปลี่ยนแปลง ถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลอย่างรุนแรง ภาวะโลกร้อนในภายหลังทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ส่งผลให้สัตว์ทะเลมีความเครียดมากขึ้น ผลลัพธ์คือ สัตว์ทะเลประมาณ 85% สูญพันธุ์
การสูญพันธุ์ในยุคดีโวเนียนตอนปลาย (ประมาณ 375 ล้านปีก่อน) สาเหตุจากมหาสมุทร ขาดออกซิเจน และการเย็นตัวลงเนื่องจากกิจกรรมของภูเขาไฟและดาวเคราะห์น้อยที่พุ่งชน ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การผุกร่อนของหินบนบกที่เพิ่มขึ้นทำให้ CO2 หายไปจากชั้นบรรยากาศ ทำให้เกิดการเย็นตัวลง ขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของมหาสมุทรก็ส่งผลเสียต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล เช่น ปะการังและปลาเกราะ ผลลัพธ์คือประมาณ 75% ของชนิดพันธุ์สูญพันธุ์ โดยเฉพาะในระบบนิเวศทางทะเล
การสูญพันธุ์ในยุคเพอร์เมียน-ไทรแอสซิก (ประมาณ 252 ล้านปีก่อน) สาเหตุจากการปะทุของ ภูเขาไฟครั้งใหญ่ในไซบีเรีย ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจก ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โลกร้อนอย่างรุนแรง (อุณหภูมิสูงขึ้นถึง +10°C) มหาสมุทรเป็นกรด และภาวะขาดออกซิเจนแพร่หลาย ผลลัพธ์คือประมาณ 96% ของชนิดพันธุ์ทางทะเลและ 70% ของชนิดพันธุ์บนบกสูญพันธุ์ นี่คือการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก
การสูญพันธุ์ในยุคไทรแอสซิก-จูแรสซิก (ประมาณ 201 ล้านปีก่อน) สาเหตุจากกิจกรรมของภูเขาไฟ จากบริเวณแมกมาติกในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนกลาง ปลดปล่อย CO2 ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน กรดในมหาสมุทร และการรบกวนระบบนิเวศ ผลลัพธ์คือประมาณ 80% ของชนิดพันธุ์สูญพันธุ์ และปูทางไปสู่การครองโลกของไดโนเสาร์
การสูญพันธุ์ในยุคครีเทเชียส-พาลีโอจีน (K-Pg) (ประมาณ 66 ล้านปีก่อน) สาเหตุเกิดจากการชนของดาวเคราะห์น้อย (หลุมอุกกาบาต Chicxulub) และการปะทุของภูเขาไฟ Deccan ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การชนของดาวเคราะห์น้อยทำให้เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ เมฆฝุ่นบดบังแสงแดด ตามมาด้วยภาวะโลกร้อนในระยะยาวจาก CO2 จากภูเขาไฟ ผลลัพธ์คือชนิดพันธุ์ต่างๆ สูญหายไปราว 75% รวมถึงไดโนเสาร์ที่ไม่ใช่นกด้วย สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมจึงมีความหลากหลายและเข้ามาครองพื้นที่แทนไดโนเสาร์ในเวลาต่อมา
03 – ตัวอย่างในประเทศไทย
ในประเทศไทย มีงานวิจัยฟอสซิลสัตว์และพืชดึกดำบรรพ์หลายชิ้น ที่บอกให้เรารู้เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมและองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตในอดีต ตัวอย่างเช่น
ไม้กลายเป็นหินยุคไดโนเสาร์ การศึกษากายวิภาคเปรียบเทียบของไม้กลายเป็นหินยุคจูแรสซิกตอนปลาย จังหวัดกาฬสินธุ์ ณ แหล่งซากดึกดำบรรพไม้กลายเป็นหินภูปอ จำนวน 7 ตัวอย่าง โดยการวิเคราะห์เนื้อไม้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ พบว่าไม้ทั้งหมดเป็นไม้จำพวกสน สกุล Agathoxylon บางชิ้นเห็นวงปีชัดเจน การศึกษานี้มีการใช้ลักษณะของเนื้อไม้ เช่น ความหนาของผนังเซลล์ การจัดเรียงเซลล์ ฯลฯ มาใช้ในการจำแนกชนิด จากการดูวงปีในไม้กลายเป็นหิน ทีมวิจัยสามารถคาดการณ์ได้ว่าเมื่อร้อยกว่าล้านปีก่อน (ยุคจูแรสซิก) บริเวณนี้เคยมีสภาพอากาศที่ค่อนข้างเปียกชื้นสลับกับมีฤดูแล้งเป็นเวลาสั้น ๆ นอกจากนี้ ในบริเวณนี้ก็เคยมีการค้นพบไม้กลายเป็นหินสกุล Xenoxylon ที่บ่งบอกว่าในสมัยนั้นอากาศอาจจะเย็นและเปียกชื้นด้วย [6]
ชุมชีพไดโนเสาร์ในอิสาน ตัวอย่างจากหมวดหินเสาขัว (อายุประมาณ133-121ล้านปีก่อน) หมวดหินเสาขัวเป็นหมวดหินสำคัญในกลุ่มหินโคราช ประกอบด้วยดินเหนียวสีแดง (red clays) หินโคลน (mudstones) หินทราย (sandstones) หินแป้ง (siltstones)และหินกรวด (conglomerates)เป็นส่วนใหญ่ ตะกอนเหล่านี้บ่งชี้ถึงสภาพแวดล้อมแม่น้ำ ที่มีลักษณะเป็นทะเลสาบ ที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึง และแม่น้ำที่มีพลังงานต่ำไหลคดเคี้ยว สภาวะดังกล่าวบ่งชี้ถึงภูมิอากาศแบบอบอุ่น (temperate) ที่เอื้อต่อการพัฒนาของระบบนิเวศบนบกที่มีสิ่งมีชิวิตที่หลากหลายหมวดหินเสาขัวมีชื่อเสียงจากหลักฐานฟอสซิลสัตว์มีกระดูกสันหลังจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งไดโนเสาร์กลุ่มต่าง ๆ ได้แก่ ไดโนเสาร์กินเนื้อหรือเทอโรพอด เช่น สไปโนซอริด เมกะแรปเตอราน และออร์นิโทมิโมซอร์ ไดโนเสาร์คอยาวหรือซอโรพอด ได้แก่ ไททันโนซอร์แรกเริ่ม บราคิโอซอริด และดิโพลโดคอยด์ การมีอยู่ของสัตว์ที่มีความหลากหลายดังกล่าวเน้นย้ำถึงการมีอยู่ของระบบนิเวศบนบกที่ซับซ้อน ซึ่งมีช่องว่าง (niches) ที่หลากหลายในมหายุคมีโซโซอิก (รูปที่ 3) [7]
ทุ่งหญ้าสะวันนาภาคใต้ หลักฐานจากฟอสซิลไฮยีน่ากระบี่ทุ่งหญ้าสะวันนาคือระบบนิเวศที่มีลักษณะเป็นพื้นที่โล่ง มีต้นไม้ประปราย พืชพรรณหลักเป็นหญ้า มีสัตว์กินพืชและนักล่าจำนวนมากฟอสซิลไฮยีน่าที่ถูกค้นพบในจังหวัดกระบี่ เป็นหลักฐานที่สำคัญซึ่งช่วยชี้ให้เห็นว่าสภาพแวดล้อมในอดีตของพื้นที่นี้ เคยเป็นทุ่งหญ้าโล่งแบบสะวันนา ไฮยีน่าเป็นนักล่าและสัตว์กินซากที่พบได้ทั่วไปในแหล่งทุ่งหญ้าแห้งในแอฟริกาในปัจจุบัน การที่พบไฮยีน่าซึ่งเป็นสัตว์ที่เหมาะกับทุ่งโล่ง บ่งบอกว่า ภาคใต้ของไทยเมื่อหลายแสนปีก่อน อาจไม่ใช่ป่าดิบชื้นหนาแน่นแบบทุกวันนี้แต่เคยเป็นทุ่งหญ้าแบบสะวันนา ฟอสซิลเหล่านี้ช่วยให้นักธรณีวิทยาและนักบรรพชีวินวิทยาเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและระบบนิเวศในอดีตชี้ให้เห็นว่า ภาคใต้เคยมีสภาพแห้งกว่าปัจจุบันในช่วงยุคน้ำแข็ง [8]
รูปที่ 3 รูปหุบเขาภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ในอดีต ภาพวาดโดย ⒸKmonvish Lawan
04 – ความสำคัญของหลักฐานซากดึกดำบรรพ์
ฟอสซิลพืช
การศึกษาภูมิอากาศในอดีตจากฟอสซิลพืช จะช่วยทำนายว่าระดับ CO2 ที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน อาจส่งผลต่ออุณหภูมิและระบบนิเวศของโลกอย่างไร บันทึกละอองเรณูบ่งชี้ว่า พืชปัจจุบันหลายชนิดอาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ฟอสซิลพืชยังเป็นเครื่องมือบันทึกสภาพอากาศของธรรมชาติ ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สร้างสภาพแวดล้อมในอดีตขึ้นมาใหม่ และคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตได้ การใช้ฟอสซิลพืชในการศึกษาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอดีต ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันและอนาคต ฟอสซิลพืช เช่น ใบไม้และเมล็ดพืชที่ถูกเก็บรักษาไว้ในหิน สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับอุณหภูมิและความชื้นในอดีต โดยนักวิทยาศาสตร์ใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น การวิเคราะห์รูปร่างของใบไม้และการศึกษาความหลากหลายของพืช เพื่อประเมินสภาพภูมิอากาศในช่วงเวลาที่พืชเหล่านั้นเจริญเติบโต การศึกษาฟอสซิลพืชไม่เพียงแต่ช่วยให้เราเข้าใจการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอดีต แต่ยังช่วยในการวางแผนและดำเนินการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในปัจจุบันและอนาคต โดยการใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการป้องกันผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ฟอสซิลสิ่งมีชีวิตในทะเล
ระดับ CO2 ที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบันสะท้อนให้เห็นเหตุการณ์ในอดีต เช่น ภาวะโลกร้อนพาลิโอซีน-อีโอซีน (Paleocene-Eocene Thermal Maximum: PETM) ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงกรดในมหาสมุทรในอนาคต ฟอสซิลแนวปะการังบ่งชี้ว่าภาวะโลกร้อนในปัจจุบันอาจนำไปสู่การฟอกขาวของปะการังจำนวนมาก บันทึกของฟอรามินิเฟอราบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของกระแสน้ำในมหาสมุทรอันเนื่องมาจากการละลายของน้ำแข็งที่ขั้วโลก ฟอสซิลสิ่งมีชีวิตในทะเลขนาดเล็กนี้ให้มุมมองในระยะยาวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และช่วยให้นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์สภาพมหาสมุทรในอนาคตได้ [9]
ฟอสซิลสัตว์มีกระดูกสันหลังบนบก
ในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากยุคเพอร์เมียนเป็นไทรแอสซิก (ประมาณ 252 ล้านปีก่อน) สัตว์เลื้อยคลานบางชนิดได้วิวัฒนาการโครงสร้างคล้ายกระโดงหลังที่ใหญ่ขึ้น (เช่น ไดเมโทรดอน) เพื่อควบคุมอุณหภูมิของร่างกายในสภาพอากาศร้อนจัด (หรือเพื่อดึงดูดเพศตรงข้าม) การค้นพบไดโนเสาร์บางชนิด เช่น เอ็ดมอนโตซอรัสและโทรโอดอน อาศัยอยู่ในบริเวณอาร์กติก ซึ่งหมายความว่า พวกมันต้องอยู่รอดท่ามกลางความมืดและความหนาวเย็นเป็นเวลานานหลายเดือน หลักฐานฟอสซิลบ่งชี้ว่า ไดโนเสาร์เหล่านี้อาจมีฉนวนป้องกันความร้อน (เช่น ขน) และรูปแบบการอพยพเพื่อปรับตัวให้เข้ากับ การเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล [10] สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมในยุคน้ำแข็งเองก็มีการปรับตัวต่อสภาพอากาศหนาวเย็น เช่น แมมมอธขนยาวและแรดขนยาวจะมีขนหนาและชั้นไขมันหนา และมีส่วนปลายของร่างกายเช่นใบหูเล็ก เพื่อเอาชีวิตรอดจากอุณหภูมิที่เย็นจัด
05 – เราสามารถป้องกันหรือรับมือการเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้างจากหลักฐานในอดีต
จากหลักฐานในอดีต ทำให้เราตระหนักว่า จำเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ป้องกันการทำลายระบบนิเวศ และต้องป้องกันการสูญพันธุ์ของพืชและสัตว์ท้องถิ่น เช่น นก แมลง ด้วยการรักษาถิ่นที่อยู่ของพวกมัน ตัวอย่างเช่น ลดการสร้างเขื่อนและฝาย เนื่องจากเขื่อนสามารถปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ โดยเฉพาะในรูปของมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซที่มีศักยภาพในการทำให้โลกร้อนสูงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หลายเท่า พื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมจากการสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ จะทำให้พืชและอินทรียวัตถุต่างๆ ใต้น้ำเริ่มย่อยสลายโดยไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic decomposition) ซึ่งกระบวนการนี้จะผลิตก๊าซมีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์ โดยเฉพาะในเขื่อนที่ตั้งอยู่ในเขตร้อนหรือพื้นที่ที่มีอินทรียวัตถุหนาแน่น เช่น ป่าฝนอเมซอน การศึกษาพบว่าเขื่อนทั่วโลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 1 พันล้านตันต่อปี ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 1.3 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมของมนุษย์ทั้งหมด การปล่อยก๊าซมีเทนจากเขื่อนทำให้เขื่อนบางแห่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินหรือก๊าซธรรมชาติในช่วง 10 ปีแรกของการดำเนินงาน นอกจากนี้ เขื่อนและฝายยังส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ เช่น การขัดขวางการอพยพของสัตว์น้ำและการไหลเวียนแร่ธาตุและตะกอน การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของน้ำ ทำให้น้ำเน่า สัตว์น้ำขาดสารอาหาร [11]
การปกป้องความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตบนโลก ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ เชื้อรา และจุลินทรีย์ ตลอดจนระบบนิเวศที่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้พึ่งพา ความพยายามนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาสุขภาพของโลก ความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ และความสามารถในการฟื้นตัวจากการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและแหล่งที่อยู่อาศัยไม่ได้หมายความถึงการช่วยชีวิตสัตว์หรือต้นไม้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการปกป้องโครงข่ายของสิ่งมีชีวิตที่รองรับทุกสิ่ง รวมถึงมนุษย์ด้วย การสร้างระบบนิเวศที่มีสุขภาพดีในปัจจุบันถือเป็นมรดกสำหรับคนรุ่นอนาคตที่จะอยู่รอดและเจริญเติบโต
แม้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเกิดขึ้นเป็นวัฏจักรในโลกใบนี้ แต่กิจกรรมของมนุษย์ก็ส่งผลทางตรงและทางอ้อม และเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา แม้เราจะหยุดมันไม่ได้ แต่ก็สามารถชะลอหรือลดความรุนแรงได้ ดังเช่นการไม่สร้างฝายในป่าต้นน้ำ และไม่สนับสนุนการสร้างเขื่อนซึ่งส่งผลกระทบในวงกว้าง
06 – ตัวอย่างการนำหลักฐานเหล่านี้มาเป็นส่วนในการป้องกัน หรือสร้างความตื่นตัวในการเตรียมการ รับมือกับการเปลี่ยนแปลง
การศึกษาฟอสซิลพืชช่วยคาดการณ์อนาคต ข้อมูลจากฟอสซิลพืชช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างแบบจำลองการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคตได้ โดยการเปรียบเทียบข้อมูลเหล่านี้กับข้อมูลปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์สามารถประเมินผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อระบบนิเวศและสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ โดยใช้ฟอสซิลในการบอกเล่าว่าสภาพภูมิอากาศในอดีตเป็นอย่างไร จากนั้นนักภูมิอากาศจะนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในการจำลองสภาพภูมิอากาศในอดีตด้วยคอมพิวเตอร์ แล้วก็นำผลจากการจำลองมาเปรียบเทียบกับสภาพภูมิอากาศที่สร้างขึ้นจากฟอสซิล เพื่อดูว่าตรงกันหรือไม่ หากแบบจำลองภูมิอากาศสมัยใหม่สามารถพยากรณ์เหตุการณ์รุนแรงในอดีต เช่น PETM (Paleocene-Eocene Thermal Maximum) ได้อย่างแม่นยำ ก็มีแนวโน้มว่าจะสามารถพยากรณ์การตอบสนองของโลกต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันได้อย่างแม่นยำเช่นกัน (รูปที่ 4)
ในอดีตมนุษย์เคยอยู่รอดการสูญพันธุ์ช่วงสิ้นยุคน้ำแข็ง แต่ในปัจจุบัน จากการทำอุตสาหกรรม มนุษย์กำลังทำลายธรรมชาติ เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ทำให้ภูมิอากาศแปรปรวน เราจะผ่านการสูญพันธุ์ครั้งต่อไปได้หรือไม่ (ยุคไพลสโตซีนตอนปลายจนถึงต้นยุคโฮโลซีนเป็นช่วงที่สัตว์ขนาดใหญ่ส่วนใหญ่ในโลก สูญพันธุ์ไป ซึ่งส่งผลให้ความหนาแน่นและความหลากหลายของสัตว์ทั่วโลกลดลง [12]
รูปที่ 4 ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอดีต (ซ้าย) เปรียบเทียบกับสถานการณ์การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นไปได้ในอนาคต (ขวา)
ที่มารูปภาพ: College of Science, George Mason University
07 – บทสรุป
หลักฐานฟอสซิลบอกเราเกี่ยวกับภูมิอากาศในอดีต และมีความเกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพและการอนุรักษ์ เนื่องจากให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตบนโลก การศึกษาฟอสซิลทำให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจได้ดีขึ้นว่าชนิดพันธุ์วิวัฒนาการมาอย่างไร ระบบนิเวศและภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และเหตุการณ์การสูญพันธุ์เกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งทั้งหมดนี้มีความสำคัญต่อแนวทางการอนุรักษ์สมัยใหม่ที่สำคัญ ได้เเก่
1. ทำความเข้าใจความหลากหลายทางชีวภาพในอดีต ฟอสซิลแสดงให้เราเห็นว่าในอดีตมีสิ่งมีชีวิตประเภทใด และชีวิตครั้งหนึ่งมีความหลากหลายเพียงใด สิ่งนี้ช่วยให้เรา ติดตามวิวัฒนาการของสปีชีส์และระบบนิเวศตลอดหลายล้านปี ทำความเข้าใจรูปแบบของความหลากหลาย (การเกิดขึ้นของสปีชีส์ใหม่) และการสูญพันธุ์ ระบุแนวโน้มในระยะยาว เช่น การเพิ่มขึ้นและลดลงของสิ่งมีชีวิตกลุ่มต่าง ๆ ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์กำหนดได้ว่าระบบนิเวศที่ “มีสุขภาพดี” หรือ “เป็นธรรมชาติ” ควรมีลักษณะอย่างไร และความหลากหลายทางชีวภาพในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใดเมื่อเวลาผ่านไป
2. เปิดเผยสาเหตุและผลกระทบของการสูญพันธุ์ บันทึกฟอสซิลบันทึกการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ในอดีต (เช่น การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ที่ไม่ใช่นก) และการสูญพันธุ์ที่ค่อยเป็นค่อยไปมากขึ้น ซึ่งช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถ วิเคราะห์สาเหตุของการสูญพันธุ์ (เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กิจกรรมของภูเขาไฟ การชนของดาวเคราะห์น้อย) สังเกตว่าชีวิตฟื้นตัวหรือปรับตัวอย่างไรหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว บทเรียนเหล่านี้จากอดีตช่วยทำนายว่าชนิดพันธุ์ปัจจุบันอาจตอบสนองต่อภัยคุกคามสมัยใหม่ เช่น การสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัยหรือภาวะโลกร้อนอย่างไร และจะบรรเทาผลกระทบเหล่านี้ได้อย่างไร
3. ให้ข้อมูลลำดับความสำคัญของการอนุรักษ์ โดยการเปรียบเทียบชนิดพันธุ์ปัจจุบันกับญาติที่เป็นฟอสซิล นักวิทยาศาสตร์สามารถระบุชนิดพันธุ์ที่แยกจากกันในวิวัฒนาการได้ — ชนิดพันธุ์ที่มีญาติใกล้ชิดเพียงไม่กี่ชนิด — ซึ่งมักได้รับลำดับความสำคัญในการอนุรักษ์ที่สูงกว่า (เช่น กิ้งก่าทัวทารา ปลาซีลาแคนท์ พะยูน หรือช้าง) รับรู้ฟังก์ชันของระบบนิเวศที่คงอยู่ตลอดกาลเวลาและมีความสำคัญต่อการอนุรักษ์ ทำความเข้าใจช่วงประวัติศาสตร์ของชนิดพันธุ์ต่างๆ ซึ่งช่วยในการฟื้นฟูแหล่งที่อยู่อาศัย ฟอสซิลสามารถเผยให้เห็นว่าสิ่งที่เราเห็นในปัจจุบันเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของความหลากหลายทางชีวภาพในอดีต ซึ่งช่วยชี้นำกลยุทธ์การอนุรักษ์เมื่อเรามีข้อมูลมากขึ้น
4. ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่เกิดจากมนุษย์ อาจเป็นตัวการทำให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งที่ 6 เนื่องมาจากภาวะโลกร้อนจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภาวะเป็นกรดของมหาสมุทร ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล การทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยจากการตัดไม้ทำลายป่าและการสร้างเขื่อนและฝาย และการขยายตัวของเมือง การอพยพของชนิดพันธุ์และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ เนื่องจากสิ่งมีชีวิตดิ้นรนที่จะปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หากแนวโน้มปัจจุบันยังคงดำเนินต่อไป การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพอาจเทียบได้กับเหตุการณ์การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ในอดีต และถือเป็นการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งที่ 6 ของโลก ก็ว่าได้
อติรุจ ดือเระ – บรรณาธิการ
วิจย์ณี เสนแดง – ภาพประกอบ
● อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
– SDG Updates | ทำความเข้าใจ Loss & Damage และผลกระทบที่คนไทยต้องเผชิญ เมื่อ Climate change รุนแรงขึ้น ประเด็นน่าสนใจงานเสวนาวิชาการศูนย์วิจัยนโยบายและเศรษฐกิจสีเขียว (Pro-green)
– GYBN Thailand เผยแพร่ผลสำรวจความเห็นของเด็กและเยาวชน 712 คน ต่อ Climate Change และความหลากหลายทางชีวภาพ
– SDG Recommends | ออนทัวร์ไปในแดนอาชญากรรมสัตว์ป่ากับ Wild Crimes Podcast
– สัตว์-พืช กว่าล้านสายพันธุ์เสี่ยงสูญพันธุ์เร็วขึ้น ผลจาก climate change เเละมลพิษ กระทบระบบนิเวศทั่วโลก
ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ
#SDG13 การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
– (13.1) เสริมภูมิต้านทานและขีดความสามารถในการปรับตัวต่ออันตรายและภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับภูมิอากาศในทุกประเทศ
– (13.3) พัฒนาการศึกษา การสร้างความตระหนักรู้ และขีดความสามารถของมนุษย์และของสถาบันในเรื่องการลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การปรับตัว การลดผลกระทบ การเตือนภัยล่วงหน้า
#SDG14 ทรัพยากรทางทะเล
– (14.a) เพิ่มความรู้ทางวิทยาศาสตร์ พัฒนาขีดความสามารถในการวิจัย และถ่ายทอดเทคโนโลยีทางทะเล โดยคำนึงถึงหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการถ่ายทอดเทคโนโลยีทางทะเลของคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยสมุทรศาสตร์ เพื่อจะพัฒนาคุณภาพมหาสมุทรและเพิ่มพูนให้ความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลมีส่วนสนับสนุนการพัฒนาของประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐกำลังพัฒนาที่เป็นเกาะขนาดเล็กและประเทศพัฒนาน้อยที่สุด
#SDG15 ระบบนิเวศบนบก
– (15.5) ปฏิบัติการที่จำเป็นและเร่งด่วนเพื่อลดการเสื่อมโทรมของถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติ หยุดยั้งการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และภายในปี พ.ศ. 2563 ปกป้องและป้องกันการสูญพันธุ์ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคาม
เอกสารอ้างอิง
[1] Jablonski, D. 2001. Lessons from the past: evolutionary impacts of mass extinctions. Proceedings of the National Academy of Sciences, 98(10); 5393-5398.
[1] Cruz, J.A., Velasco, J.A., Arroyo-Cabrales, J., and Johnson, E. 2023. Paleoclimatic reconstruction based on the Late Pleistocene San Josecito Cave Stratum 720 fauna using fossil mammals, reptiles, and birds. Diversity, 15(7); p.881.
[1] Tierney, J.E., Poulsen, C.J., Montañez, I.P., Bhattacharya, T., Feng, R., Ford, H.L., Hönisch, B., Inglis, G.N., Petersen, S.V., Sagoo, N., and Tabor, C.R. 2020. Past climates inform our future. science, 370(6517); p.eaay3701.
[1] Tierney, J.E., Zhu, J., Li, M., Ridgwell, A., Hakim, G.J., Poulsen, C.J., Whiteford, R.D., Rae, J.W., and Kump, L.R. 2022. Spatial patterns of climate change across the Paleocene–Eocene Thermal Maximum. Proceedings of the National Academy of Sciences, 119(42); p.e2205326119.
[1] Timmermann, A., Raia, P., Mondanaro, A., Zollikofer, C.P., Ponce de León, M., Zeller, E.. and Yun, K.S., 2024. Past climate change effects on human evolution. Nature Reviews Earth & Environment, 5(10); 701-716.
[2] McElwain, J.C. and Punyasena, S.W. 2007. Mass extinction events and the plant fossil record. Trends in ecology & evolution, 22(10); 548-557.
[2] Wolff, E.W., Chappellaz, J., Blunier, T., Rasmussen, S.O., and Svensson, A. 2010. Millennial-scale variability during the last glacial: The ice core record. Quaternary Science Reviews, 29(21-22); 2828-2838.
[2] Zargar, MA, Riyaz M, Hussain SM, Nazir A, Hamid S, Gojree IA, and Parray KA. 2025. Pollen and spores as proxies for palaeoenvironment reconstruction: A review of sediment-based research. Journal of the Palaeontological Society of Indi, 05529360251318072.
[3] Lirer, F., Sprovieri, M., Vallefuoco, M., Ferraro, L., Pelosi, N., Giordano, L., and Capotondi, L. 2014. Planktonic foraminifera as bio‐indicators for monitoring the climatic changes that have occurred over the past 2000 years in the southeastern Tyrrhenian Sea. Integrative Zoology, 9(4); 542-554.
[4] Vermillion, W.A., Polly, P.D., Head, J.J., Eronen, J.T., and Lawing, A.M. 2018. Ecometrics: A trait-based approach to paleoclimate and paleoenvironmental reconstruction. Methods in paleoecology: Reconstructing Cenozoic terrestrial environments and ecological communities, 373-394.
[5] McElwain, J.C. 2018. Paleobotany and global change: Important lessons for species to biomes from vegetation responses to past global change. Annual review of plant biology, 69; 761-787.
[6] Srikampa, P. and Suteethorn, S. 2025. Petrified wood of the genus Agathoxylon on the nature trail at Phu Por fossil site, Kham Muang District, Kalasin Province, Thailand. Journal of Science and Technology Mahasarakham University, 44(3); 242-251.
[7] Boonjarern, T., Suteethorn, S., Samathi, A., Jungpan, C., Kaikaew, S., Sutcha, K., Chaitongsri, K., Srikampa, P., and Suteethorn, V. 2024. Sauropod Dinosaurs in Southeast Asia. The 6th International Conference on Paleogeography, Nanjing, China.
[7] Puntanon, K., Suteethorn, S., and Samathi, A. 2024. Diversity of theropod dinosaurs in Thailand: implications for paleobiogeography. 12th Conference on taxonomy and systematic in Thailand. Mahidol University, Bangkok, Thailand.
[7] Samathi, A., Chanthasit, P., and Sander, P. M. 2019. A review of theropod dinosaurs from the Late Jurassic to mid-Cretaceous of Southeast Asia. Annales de Paléontologie, 105(3); 201-215
[8] Suraprasit, K., Jongautchariyakul, S., Yamee, C., Pothichaiya, C., and Bocherens, H. 2019. New fossil and isotope evidence for the Pleistocene zoogeographic transition and hypothesized savanna corridor in peninsular Thailand. Quaternary Science Reviews, 221; p.105861.
[9] Schmiedl, G. 2019. Use of foraminifera in climate science. Oxford research encyclopedia of climate science.
[10] Maderspacher, F. 2021. Paleontology: Snow falling on dinosaurs. Current Biology, 31(16); R995-R998.
[11] Barros, N., Cole, J.J., Tranvik, L.J., Prairie, Y.T., Bastviken, D., Huszar, V.L., Del Giorgio, P., and Roland, F. 2011. Carbon emission from hydroelectric reservoirs linked to reservoir age and latitude. Nature geoscience, 4(9); 593-596.
[11] U.S. Department of Energy. Tracking the Carbon Footprint of Hydropower. https://www.energy.gov/eere/water/tracking-carbon-footprint-hydropower?utm_source=chatgpt.com
[11] สมาธิ ธรรมศร 2023 เหรียญอีกด้านของ ‘ฝายชะลอน้ำ’ กิจกรรมอนุรักษ์ป่าหรือคร่าชีวิตลำธาร waymagazine https://waymagazine.org/how-weir-effect-in-environment/
ที่มาภาพ
– Biology Notes Online https://biologynotesonline.com/dendrochronology-definition-history-methods-applications/
– College of Science, George Mason University https://science.gmu.edu/news/understanding-past-climate-key-predicting-future-climate
– namodinosaur https://www.deviantart.com/namodinosaur/art/Illustration-of-Khon-Kaen-Geopark-createcous-paleo-938538559
– NOAA Paleoclimatology Data Center – https://www.ncdc.noaa.gov/data-access/paleoclimatology-data
– Smithsonian National Museum of Natural History – Fossil Evidence for Climate Change – https://naturalhistory.si.edu/research/paleobiology
– Smithsonian National Museum of Natural History – What Fossil Plants Reveal About Climate Change https://www.smithsonianmag.com/blogs/national-museum-of-natural-history/2021/04/29/what-fossil-plants-reveal-about-climate-change/
– State Historical Society of North Dakota https://blog.statemuseum.nd.gov/blog/life-of-fossil