Site icon SDG Move

‘สนธิสัญญาทะเลหลวง’ จะบังคับใช้ต้นปีหน้า ผลจาก ‘โมร็อกโก’ และ ‘เซียร์ราลีโอน’ ให้สัตยาบันเป็นประเทศที่ 60 และ 61 ถือว่าครบเกณฑ์ขั้นต่ำตามกำหนด

วันที่ 19 กันยายน 2568 โมร็อกโก และ เซียร์ราลีโอน เป็นประเทศที่ 60 และ 61 ที่ลงนามให้สัตยาบันต่อ สนธิสัญญาทะเลหลวง หรือ ข้อตกลงสนธิสัญญาที่ว่าด้วยการจัดระเบียบการใช้ทรัพยากรพันธุกรรมและความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลในพื้นที่ที่อยู่นอกเขตอำนาจรัฐ (BBNJ) 

สนธิสัญญาดังกล่าวผ่านการบรรลุในเวทีระหว่างประเทศมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 และในเดือนกันยายนปีเดียวกัน ตัวแทนรัฐบาลจาก 87 ประเทศ ได้ลงชื่อรับรองอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ดี สนธิสัญญาฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ก็ต่อเมื่อมีประเทศอย่างน้อย 60 ประเทศให้สัตยาบัน ซึ่งในช่วงปีแรกนับว่าน่าเป็นน่าเป็นห่วงเพราะมีประเทศที่ให้สัตยาบันเพียง 2 ประเทศ คือ ชิลี และ ปาเลา จนต้องรอถึงปีที่สองจึงมีประเทศอย่างน้อยอีก 57 ประเทศเข้าร่วมให้สัตยาบัน

การตัดสินใจที่กล้าหาญอย่างรับผิดชอบของ โมร็อกโก และ เซียร์ราลีโอน ที่เกิดขึ้นล่าสุด จึงเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้การรอคอยอย่างนานขยับไปต่อได้ด้วยความหวัง เนื่องจากทำให้สนธิสัญญาทะเลหลวงมีประเทศที่ให้สัตยาบันครบอย่างน้อย 60 ประเทศ และจะมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม 2569 อย่างเป็นทางการ 

António Guterres เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ แสดงความยินดีกับความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นครั้งนี้โดยเรียกว่าเป็น “ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่สำหรับมหาสมุทรและความร่วมมือพหุภาคี” พร้อมทั้งระบุด้วยว่า “ในปีที่สองนี้ ประเทศต่าง ๆ เปลี่ยนการสัญญาให้เป็นการลงมือทำ สะท้อนว่าถึงความเป็นไปได้เมื่อประเทศทั้งหลายร่วมมือกันเพื่อประโยชน์ส่วนรวม” และเรียกร้องให้ประเทศที่เหลือเข้าร่วมให้สัตยาบันโดยเน้นย้ำว่า “สุขภาพมหาสมุทรคือสุขภาพของมนุษยชาติ” 

ด้าน Inger Andersen ผู้อำนวยการโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UN Environment Programme: UNEP) โพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดียว่า “มหาสมุทรของเราคือรากฐานสำคัญแก่การดำรงชีวิตของเรา วันนี้เราได้ก้าวไปข้างหน้าเพื่อปกป้องมหาสมุทรและปกป้องอนาคตของเรา”

หลังจากที่สนธิสัญญาบังคับใช้ในวันที่ 17 มกราคม 2569 ประเทศต่าง ๆ จะร่วมมือกันต่อเนื่องในการวางกรอบงานเพื่อบรรลุเป้าหมายการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพระหว่างประเทศ รวมถึงสร้างพื้นที่คุ้มครองทางทะเลให้ได้ตามเป้าหมาย นั่นคือ 30% ของทะเลทั้งหมด ตามกรอบงานคุนหมิง-มอนทรีออลว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของโลก (Kunming-Montreal Gobal Biodiversity Framework)

● อ่านข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง
– รัฐบาล-เอกชนทั่วโลก ผนึกกำลังขับเคลื่อน 410 ข้อผูกพัน เพื่อการพัฒนามหาสมุทรที่ยั่งยืน ในการประชุม Our Ocean Conference 2022
– ทศวรรษแห่งสมุทรศาสตร์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนกับ 4 โซลูชันจากโครงการ Flagship ที่ออกสำรวจใต้ท้องทะเลลึก
– SDG Updates | ท่ามกลางคราบน้ำมัน และ Climate Change: ทะเลและมหาสมุทรยังเป็นความหวังใหม่
– SDG Recommends | เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเรากับทะเลและมหาสมุทรมากขึ้นผ่าน Ocean Literacy
– เสียงส่วนใหญ่ใน IUCN World Conservation Congress เห็นชอบห้ามทำเหมืองแร่ใต้ทะเลลึกชั่วคราว
– จังหวัดปาปัวตะวันตกคงความอุดมสมบูรณ์ทางทะเลได้ดีขึ้น เพราะการกำหนดพื้นที่คุ้มครองและบทบาทนำของชุมชนรอบชายฝั่ง
 – 4 ประเทศลาตินอเมริกา ประกาศ “แนวระเบียงพื้นที่คุ้มครองทางทะเลแปซิฟิกเขตร้อนตะวันออก” มากกว่า 500,000 ตร.กม.
 ประชุม IGC-5.2 ไทยและอีกเกือบ 200 ประเทศ ลงนามใน ‘สนธิสัญญาทะเลหลวง’ ใบเบิกทางคุ้มครองความอุดมสมบูรณ์ในน่านน้ำสากล
ครบ 1 ปี สนธิสัญญาทะเลหลวง มีเพียง “ปาเลา” และ “ชิลี” ให้สัตยาบัน ห่วงบังคับใช้จริงไม่ได้หากให้สัตยาบันไม่ครบ 60 ประเทศ

ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ
#SDG14 ทรัพยากรทางทะเล
– (14.2) บริหารจัดการและปกป้องระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืนเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบทางลบที่มีนัยสำคัญ รวมถึงโดยการเสริมภูมิต้านทานและปฏิบัติการเพื่อฟื้นฟู เพื่อบรรลุการมีมหาสมุทรที่มีสุขภาพดีและมีผลิตภาพ ภายในปี 2563
– (14.4) ภายในปี 2563 ให้กำกับในเรื่องการเก็บเกี่ยวและยุติการทำประมงเกินขีดจำกัด การประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม และแนวปฏิบัติด้านการประมงที่เป็นไปในทางทำลายอย่างมีประสิทธิภาพและดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการบริหารจัดการที่อยู่บนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เพื่อจะฟื้นฟูมวลสัตว์น้ำ (fish stock) ในเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่างน้อยที่สุดในระดับที่สามารถไปถึงระดับผลผลิตการประมงสูงสุดที่ยั่งยืน (maximum sustainable yield) ตามคุณลักษณะทางชีววิทยาของสัตว์น้ำเหล่านั้น
– (14.c) เพิ่มพูนการอนุรักษ์และการใช้มหาสมุทรและทรัพยากรเหล่านั้นอย่างยั่งยืน โดยการดำเนินการให้เกิดผลตามกฎหมายระหว่างประเทศตามที่สะท้อนใน UNCLOS ซึ่งเป็นกรอบทางกฎหมายสำหรับการอนุรักษ์และการใช้มหาสมุทรและทรัพยากรเหล่านั้นอย่างยั่งยืน ตามที่ระบุในย่อหน้าที่ 158 ของเอกสาร The Future We Want
#SDG17 ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
– (17.14) ยกระดับความสอดคล้องเชิงนโยบายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
– (17.17) สนับสนุนและส่งเสริมหุ้นส่วนความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาครัฐ-ภาคเอกชน และประชาสังคม สร้างบนประสบการณ์และกลยุทธ์ด้านทรัพยากรของหุ้นส่วน

แหล่งที่มา 
UN ‘high seas’ treaty clears ratification threshold, to enter into force in January (UN News)
6 มีนาคม 2567 รู้หรือไม่! มีเพียง 2 ประเทศในโลกที่ให้สัตยาบัน “สนธิสัญญาทะเลหลวง” (สำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)

Author

  • Knowledge Communication | สนใจประเด็นสันติภาพ ความมั่นคงมนุษย์ เเละสิ่งเเวดล้อมทางทะเล ใช้ชีวิตโดยเชื่อในสมดุลมากกว่าความสมบูรณ์เเบบ

Exit mobile version