ยุคที่เมืองกำลังเผชิญกับความท้าทายจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วและปัญหาที่ซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นการจราจรที่ติดขัด ปัญหาสิ่งแวดล้อม หรือความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากรพื้นฐาน การใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่ (GIS) กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของเมืองให้เป็นไปในทิศทางที่ยั่งยืน พื้นที่ว่างที่เคยถูกมองข้าม กลับกลายเป็นทรัพยากรที่เต็มไปด้วยศักยภาพเพื่อการพัฒนา ไม่เพียงแค่ในการปรับปรุงพื้นที่สาธารณะ แต่ยังเป็นพื้นที่ในการสร้างสรรค์โอกาสใหม่ ๆ ในการพัฒนาเมืองให้สามารถรองรับความต้องการของผู้อยู่อาศัยได้
SDGs in Action ฉบับนี้ ชวนสำรวจการทำงานของ “นักภูมิศาสตร์เมือง พ่อมด GIS” คุณอดิศักดิ์ กันทะเมืองลี้ รองผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง หรือ Urban Design and Development Center (UddC) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้นำความคิดสร้างสรรค์และแรงบันดาลใจในการใช้ข้อมูล GIS มาวิเคราะห์และออกแบบพื้นที่ เพื่อพัฒนาเมืองให้ตอบสนองต่อผู้คนอย่างรอบด้านทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม มาร่วมบอกเล่าประสบการณ์ มุมมอง และความท้าทายที่ได้เผชิญตลอดสิบกว่าปีบนเส้นทางของนักพัฒนาเมือง
01 – จุดเริ่มต้นจากความสนใจส่วนตัว สู่เส้นทางการพัฒนาเมือง
สนทนากับ คุณอดิศักดิ์ กันทะเมืองลี้ รองผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ย้อนเล่าถึงจุดเริ่มต้นเส้นทางการทำงานด้านการพัฒนาเมืองจาก “ความสนใจส่วนตัว” ที่มีอยู่เป็นทุนเดิม หลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาตรี ด้านภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงเข้ามาศึกษาต่อปริญญาโท ด้านการวางผังและพัฒนาเมือง ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คุณอดิศักดิ์ มองว่าการทำงานด้านพัฒนาเมืองเป็นการนำความรู้ด้านภูมิศาสตร์ที่มีอยู่เดิมมาต่อยอดอย่างเป็นรูปธรรมร่วมกับความรู้ด้านการวางผังและพัฒนาเมือง โดยเฉพาะความเข้าใจเรื่อง ‘พื้นที่’ และ ‘ผู้คน’ ซึ่งสองสิ่งนี้เชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง ทั้งยังเป็นหัวใจของการออกแบบเมืองที่ตอบสนองต่อชีวิตของผู้คน
ด้วยแพชชั่นของนักภูมิศาสตร์เมือง สู่การออกแบบชีวิตในเมืองด้วยข้อมูลเชิงพื้นที่
หลังเรียนจบปริญญาโทเมื่อปี 2558 จึงได้ร่วมงานกับ UddC ที่ขณะนั้นก็เพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน เป็นช่วงตั้งต้นขององค์กรอยู่ในระยะเริ่มวางแนวทางการทำงาน ทำให้ได้มีโอกาสร่วมสร้างฐานคิดและแนวปฏิบัติร่วมกับทีมช่วงเริ่มแรก “UddC เพิ่งก่อตั้งก่อนหน้าผมประมาณหนึ่งปี ซึ่งจุดประสงค์ของการตั้งองค์กร ก็เพื่อสร้างพื้นที่ทดลองหรือ ‘Sandbox’ สำหรับคนรุ่นใหม่ที่จบจากสาขา Urban Design ซึ่งเป็นวิชาชีพที่ใหม่มากในประเทศไทย ณ ขณะนั้น” คุณอดิศักดิ์กล่าว
ก้าวแรกใน UddC กับภารกิจพัฒนาเมือง – การร่วมงานกับศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมืองหลังเรียนจบ เขาเล่าว่าด้วยแนวคิดของ UddC คือการจำลองรูปแบบการทำงานคล้าย Studio ในต่างประเทศ เพื่อให้นิสิตที่จบจากภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ได้สัมผัสโลกของการทำงานจริง และเข้าใจว่าการฟื้นฟูหรือพัฒนาเมืองนั้นมีความเชื่อมโยงกับงานหลากหลายมิติ โดยการจัดตั้งศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง หรือ Urban Design and Development Center ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่างจุฬาฯ ภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า “โครงการแรก ๆ ที่ทำก็เช่นการวางผังระบบพื้นที่ชั้นในกรุงเทพฯ หรือเรียกกันว่า ‘ผังกรุงเทพ 250’ และโครงการ GoodWalk หรือ ‘เมืองเดินได้-เมืองเดินดี’ ที่มุ่งเน้นการสร้างสุขภาวะให้กับคนในเมือง”
ภาพที่ 1 โครงการกรุงเทพฯ 250 ระยะที่ 1 (Bangkok250 Phase 1)
ที่มา : Urban Design and Development Center
โดยภารกิจหลักของ UddC ช่วงตั้งต้นคือการเปลี่ยนมุมมองต่อการวางผังและการพัฒนาเมือง จากเดิมที่ยึดแนวคิดแบบ Top-down ที่มีนักผังเมืองเป็นผู้กำหนดทิศทางทั้งหมด ต่อยอดไปสู่แนวทางใหม่มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมจากประชาชนและทุกภาคส่วนมากขึ้น “เราเชื่อว่าการพัฒนาเมืองไม่สามารถขับเคลื่อนโดยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้อีกต่อไป เพราะเมืองเป็นของทุกคน ฉะนั้นต้องสร้างการมีส่วนร่วมจากหลากหลายภาคี ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม และชุมชนในเมืองเอง ซึ่ง UddC ทำหน้าที่เป็นแกนกลางเชื่อมประสานความร่วมมือเหล่านี้เข้าด้วยกัน” คุณอดิศักดิ์กล่าว
02 – การขับเคลื่อนเชิง “พื้นที่” และ “ประเด็น” เพื่อออกแบบเมืองให้ตอบโจทย์ผู้คน
จากความสนใจส่วนตัวสู่เส้นทางการพัฒนาเมืองตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างเมืองให้ตอบโจทย์ต่อผู้คน คุณอดิศักดิ์ กล่าวว่าด้วยแนวทางการทำงานของ UddC ที่ตอบโจทย์ต่อวิสัยทัศน์ ภายใต้หมุดหมายหลักสำคัญ คือ 2 ประการหลัก คือประการแรก เราทำงานเพื่อ “การขับเคลื่อนเชิงพื้นที่” และสอง “การขับเคลื่อนเชิงประเด็น” ซึ่งช่วงระยะแรกเริ่มเราตั้งต้นการพัฒนาเขตพื้นที่กรุงเทพฯ เป็นหลัก อย่างเช่น การฟื้นฟูย่านกะดีจีน-คลองสาน หรือการพัฒนาย่านพระโขนง-บางนา (สุขุมวิทใต้) เป็็นการดำเนินโครงการฟื้นฟูย่านเมืองเก่าให้น่าอยู่ ผ่านการวิเคราะห์แนวโน้มการใช้ชีวิตของผู้คนในเมือง มองถึงภาพอนาคต และร่วมวางแผนกับหลากหลายภาคส่วน ซึ่งพื้นที่เหล่านี้ล้วนเป็นพื้นที่ความร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่นที่ดำเนินการอย่างเข้มแข็ง ตามวิสัยทัศน์ที่ตั้งไว้ คือเชื่อมย่านสู่เมือง สร้างเมืองสู่วิถีชีวิตใหม่
ภาพที่ 2 โครงการ “เมืองเดินได้-เมืองเดินดี”
ที่มา : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
กรุงเทพฯ สู่เมืองในภูมิภาค – เมื่อการดำเนินงานเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมในพื้นที่กรุงเทพฯ จึงนำแนวทางนี้ขยายไปสู่เมืองในภูมิภาคและจังหวัดอื่น ๆ เช่น เชียงใหม่ ลำพูน ร้อยเอ็ด และขอนแก่น ตลอดระยะเวลาการทำงานสิ่งที่เห็นชัดเจนขึ้นก็คือแนวโน้มของการพัฒนาเมืองในปัจจุบันที่แสดงให้เห็นว่าโอกาสในการขับเคลื่อนการพัฒนาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเมืองหลวงอีกต่อไป เมืองหลักในภูมิภาคต่าง ๆ ล้วนมีศักยภาพและความพร้อมเช่นกัน จึงเป็นเหตุผลให้ UddC เลือกขยายการทำงานออกไปครอบคลุมหลายพื้นที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ หากมองมิติของการขับเคลื่อนเชิงประเด็น เรามองว่า “พื้นที่” เป็นจุดตั้งต้น (Area-based) โดยมุ่งพัฒนาหรือค้นหาโครงการที่เหมาะสมสอดคล้องกับบริบทความต้องการ และศักยภาพของพื้นที่นั้น ๆ เพื่อให้การออกแบบและพัฒนาเมืองตอบโจทย์ผู้คนในพื้นที่ให้ได้มากที่สุด ซึ่งนอกจากการขับเคลื่อนในเชิงพื้นที่แล้ว อีกหนึ่งแนวทางที่สำคัญคือ “การขับเคลื่อนเชิงประเด็น” เช่น โครงการส่งเสริมการเดินเท้าในเมือง (เมืองเดินได้-เมืองเดินดี) หรือขับเคลื่อนการเพิ่มพื้นที่สีเขียว ซึ่งล้วนสะท้อนโจทย์สำคัญเชิงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับสุขภาวะและความเป็นอยู่ของประชาชนในเมืองโดยตรง
อย่างไรก็ดี ตลอดระยะเวลาการดำเนินงานของ UddC ได้พัฒนาองค์ความรู้จนสามารถจัดกลุ่มแนวทางการทำงานออกเป็น 4 คลัสเตอร์หลัก และแบ่งแนวทางเป็น “การทำงานเชิงพื้นที่” และ “การขับเคลื่อนเชิงประเด็น” อย่างชัดเจน โดยระดับเชิงพื้นที่ ตัวอย่างเช่น โครงการริมน้ำยานนาวา เป็นการฟื้นฟูและการพัฒนาพื้นที่ริมน้ำ แม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณสะพานตากสิน วัดยานนาวา อู่ต่อเรือกรุงเทพ องค์การสะพานปลา โดยเป็นพื้นที่ที่ถูกออกแบบเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนริมแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านแนวคิดการฟื้นฟูพื้นที่และการวางผังแม่บท (masterplan) อีกโครงการสำคัญ คือพื้นที่ฝั่งธนบุรี เช่น คลองสาน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการขับเคลื่อนในระดับเมือง
ขณะเดียวกันในเชิงประเด็น UddC ได้ผลักดันหัวข้อที่เรียกว่า Research Themes หรือ การวิจัยแบบรวมตัวกัน และใช้ความสามารถแบบสหสาขามาโดยตลอด ซึ่งหนึ่งในประเด็นที่องค์กรให้ความสำคัญคือ “Active Mobility” หรือการสัญจรอย่างกระฉับกระเฉง เช่น การเดิน การปั่นจักรยาน ร่วมกับการใช้ระบบขนส่งสาธารณะที่ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับการออกแบบเมือง แต่ยังเชื่อมโยงกับสุขภาวะ และสิ่งแวดล้อมโดยตรง ดังนั้นจากจุดเริ่มต้นในฐานะหัวข้อวิจัยของวันนี้อย่าง Active Mobility ได้กลายเป็น “ประเด็นสาธารณะ” ที่มีการสื่อสารอย่างต่อเนื่องในระดับนโยบายเมือง และได้รับการพูดถึงในแวดวงการเมืองและการพัฒนาเมืองอย่างกว้างขวางขึ้น ผ่านโครงการเมืองเดินได้ เมืองเดินดี ซึ่งส่งเสริมและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องกว่า 10 ปี
03 – ภารกิจสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชีวิตผู้คน จากโครงการทดลองสู่การเปลี่ยนเมือง
เมื่อเมืองเปลี่ยน วิถีชีวิตผู้คนก็เปลี่ยนตาม การพัฒนาเมืองคือกุญแจสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิต UddC จึงเดินหน้าสร้างผลกระทบเชิงบวก ผ่านการลงมือทดลองจริง เพื่อจุดประกายการเปลี่ยนแปลงที่ขยายสู่ระดับเมือง คุณอดิศักดิ์อธิบายว่าด้วยบทบาทสำคัญของ UddC คือการเป็น “แกนกลาง” ที่ประสานความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นในระดับโลกแล้วเชื่อมโยงกลับมายังพื้นที่เมืองของประเทศไทย โดยพยายามยกประเด็นที่ได้รับความสนใจระดับสากล เช่น เรื่องพื้นที่สีเขียวหรือการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ทิ้งร้างในเมือง ซึ่งประเด็นเหล่านี้มักถูกมองข้ามในอดีต เราดึงเข้ามาศึกษา วิเคราะห์ และพัฒนาเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายว่าเมืองควรจะจัดการหรือฟื้นฟูพื้นที่อย่างไร โดยทำหน้าที่เป็นหน่วยสนับสนุนและผลักดันให้ประเด็นเหล่านี้ได้รับความสนใจในวงกว้าง ทั้งระดับประชาชนทั่วไป หน่วยงานวิชาการ และผู้มีอำนาจตัดสินใจ ตัวอย่างเช่น ประเด็นเรื่องพื้นที่สีเขียว ที่ทำงานร่วมกับ สสส. ในการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบ แล้วผลักดันต่อให้กับหน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพหลัก เช่น กรุงเทพฯ ซึ่งต่อมาก็ขยับสู่การออกแบบนโยบาย ‘สวนสาธารณะ 15 นาที’ ที่สามารถเข้าถึงได้ในทุกย่านเมือง
ดังนั้นการดำเนินงานจึงครอบคลุมตั้งแต่การวิจัย การพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบาย การสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนไปจนถึงการผลักดันประเด็นเข้าสู่เวทีนโยบาย โดยบทบาทหลักของการดำเนินการจริงยังคงอยู่ที่ “เมือง” หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง “เราทำงานด้วยความเชื่อมั่นในข้อมูล ใช้กระบวนการที่ขับเคลื่อนจากฐานข้อมูล (research-based) และการสื่อสารที่เข้าถึงได้ เพื่อให้ประเด็นสำคัญเหล่านี้ไม่จบอยู่แค่ในวงวิชาการ แต่สามารถนำไปขยายผลในพื้นที่จริงได้ ซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่ง เราก็จะส่งไม้ต่อให้กับภาคีที่มีหน้าที่รับผิดชอบ เช่น เมืองหรือท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง” คุณอดิศักดิ์กล่าว
ตัวอย่างโครงการทดลองสู่การเปลี่ยนเมือง Good Walk การขับเคลื่อนที่นำไปสู่ผลลัพธ์จริง เมื่อถามถึงโครงการที่เริ่มต้นแนวคิดจาก Sandbox แล้วสามารถนำไปสู่การขยายผลจริงอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากที่สุดคือ “Good Walk” ซึ่งเป็นโครงการที่ขับเคลื่อนประเด็นการเดินเท้าในเมือง ที่ได้ดำเนินงานต่อเนื่องยาวนานถึง 12 ปี และถือเป็นหนึ่งในความสำเร็จที่น่าภูมิใจของทีมขับเคลื่อนเมือง ซึ่ง “เมืองเดินได้” ไม่ใช่แค่แนวคิดในหนังสือ แต่เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ในประเทศไทย แม้บริบทของเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ซึ่งอยู่ในเขตร้อนชื้น มีทั้งฝนและแดดจัด อันเป็นอุปสรรคที่หลายคนเคยเชื่อว่าเป็นข้อจำกัดของการเดิน เนื่องจากเมื่อสิบกว่าปีก่อน ไม่มีใครพูดถึงการเดินเท้าในฐานะกลไกการพัฒนาเมืองเลย ทุกคนเชื่อว่าเมืองไทยร้อนไป ฝนตกบ่อย ไม่มีใครอยากเดิน
ด้วยมายาคติข้างต้น ทีมเริ่มสร้างองค์ความรู้ ใช้การเก็บข้อมูลจริงจากการสำรวจภาคสนาม เช่น การวัดระยะทางการเดินเฉลี่ยของคนกรุงเทพฯ ซึ่งพบว่าอยู่ที่ราว 800 เมตรต่อคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่ต่างจากญี่ปุ่นหรือเมืองที่ส่งเสริมการเดินอย่างจริงจังในต่างประเทศ เป็นจุดเริ่มต้นของการผลักดันให้การเดินกลายเป็นประเด็นเชิงนโยบาย ทำให้หลังจากนั้นในระดับเมืองหลวงกรุงเทพ จึงได้นำแนวคิด “เดินได้ เดินดี” มาใช้จริงในการวางแผนนโยบายและการจัดการพื้นที่สาธารณะ เช่น การจัดระเบียบสายไฟลงดิน การปรับปรุงมาตรฐานทางเท้าให้กว้างและเรียบขึ้น และการใช้แนวทาง PPP (Public-Private-People Partnership) เพื่อสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนในการปรับปรุงพื้นที่ เช่น การเชื่อมทางขึ้นลงสถานีรถไฟฟ้าให้กลมกลืนกับพื้นที่ทางเท้าโดยไม่กีดขวางการเดิน สร้างพื้นที่ที่เดินได้ให้แก่ผู้คนสัญจร
จากนั้นโครงการได้ขยายผลจากกรุงเทพฯ ไปยังอีกกว่า 36 เมืองทั่วประเทศ ด้วยเป้าหมายเพื่อให้การเดินกลายเป็นส่วนหนึ่งของวาระเมือง (Urban Agenda) และนโยบายสาธารณะกลายเป็นรูปธรรม การร่วมมือกับภาคีต่าง ๆ เช่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ทำให้ประเด็นนี้ถูกผลักดันสู่เวทีระดับชาติ มีผลต่อทิศทางนโยบายทั้งในช่วงการเลือกตั้งระดับรัฐบาลและท้องถิ่น ก่อให้เกิดการทำงานร่วมกับหุ้นส่วนในพื้นที่ เพราะทีมขับเคลื่อนตระหนักดีว่าเราไม่ได้รู้ดีกว่าคนในพื้นที่อย่าง “ถ้าเราไปทำที่ลำพูน เราก็จะทำงานร่วมกับกลุ่มในพื้นที่ เช่น Lamphun City Lab ซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ลุกขึ้นมาพัฒนาเมืองของตัวเอง”
ดังนั้นแนวทางการขับเคลื่อนจึงไม่ใช่การเข้าไปแทนที่หรือกำหนดทิศทางจากส่วนกลาง แต่เป็นการใช้ทรัพยากรเดิม ทั้งทุนทางสังคม แนวคิด วัฒนธรรม หรือประเด็นที่ชุมชนสนใจมาต่อยอดและยกระดับเมืองอย่างกรณีของจังหวัดลำพูน เมืองที่มีต้นทุนทางวัฒนธรรมสูงและได้รับการยอมรับว่าเป็นเมืองอนุรักษ์ การเดินจึงไม่ใช่แค่ “เดินเพื่อไปทำงาน” แต่เป็น “การเดินที่เชื่อมโยงกับมรดกวัฒนธรรม” เช่น การเดินเที่ยววัด ชมเมืองเก่า หรือกิจกรรมเดินศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นด้วย
อีกหนึ่งบทเรียนสำคัญจากโครงการดังกล่าว คือการใช้กระบวนการมีส่วนร่วม ซึ่งไม่ใช่แค่ฟังความเห็น แต่เป็นการสร้างความร่วมมือกับกลุ่มคนเปราะบาง ภาคเอกชน ชุมชน และเจ้าของพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง เพราะการออกแบบเมืองที่ดีไม่สามารถเกิดจากมุมมองของคนเพียงกลุ่มเดียว ไม่ว่าจะเป็นนักออกแบบ ผู้บริหาร หรือแม้กระทั่งผู้ว่าราชการจังหวัดก็ตาม “เมื่อทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น เขาก็จะรู้สึกเป็นเจ้าของพื้นที่จริง ๆ และพร้อมร่วมออกแบบพื้นที่ให้ตอบโจทย์กับทุกคน” คุณอดิศักดิ์กล่าว ทำให้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงแค่การมีทางเท้าที่ดี หากแต่หมายถึงเมืองที่ใส่ใจความหลากหลาย เห็นความสำคัญของคนพิการ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้คนที่ใช้ทางเดินเป็นกิจวัตร ซึ่งเป็นหัวใจของเมืองที่น่าอยู่
04 – ความท้าทายการทำงานเรื่องเมือง เมื่อลงมือทำจริงกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด
แม้จุดมุ่งหมายสำคัญ คือการสร้างเมืองที่น่าอยู่ แต่การลงมือทำยังคงพบข้อจำกัดมากมาย เมืองที่เอื้อต่อทุกกลุ่มคนไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยการปรับปรุงทางเท้าเพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องอาศัยความเข้าใจในความหลากหลายของผู้คน ทว่าความเป็นจริงปัจจุบันหลายเมืองของประเทศไทย มีการพัฒนาเชิงกายภาพที่ไม่สมดุลหรือเลือกมุ่งเน้นเฉพาะมิติด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว กลายเป็นดาบสองคมที่สร้างผลกระทบต่อชีวิตผู้คนในเชิงลึก โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มักไม่ถูกพูดถึง ทำให้การพัฒนาเมือง ตอนนี้ขาดสิ่งที่เรียกว่า ‘สมดุล’ เมื่อความสำคัญเทไปที่เศรษฐกิจ เราอาจมุ่งเน้นเรื่องเศรษฐกิจมากเกินไปจนหลงลืมมิติอื่น ทั้งสังคม สิ่งแวดล้อม หรือแม้กระทั่งชีวิตของผู้คนที่มักไม่มีเสียงในระบบเมือง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือโครงการขนาดใหญ่ เช่น การตัดผ่านของโครงสร้างพื้นฐานในบางพื้นที่ กลายเป็นตัวอย่างชัดเจนที่สะท้อนการออกแบบเมืองที่ละเลยเศรษฐกิจฐานราก ธุรกิจขนาดเล็ก ร้านค้าใต้สถานี หรือผู้ค้ารายย่อยที่เคยมีชีวิตชีวากลับซบเซาลง เพราะการพัฒนาไม่ได้คำนึงถึง “ผู้คนที่เคยใช้พื้นที่เหล่านั้น” เท่าที่ควร
อีกมุมหนึ่งที่น่าเป็นห่วง คือการพัฒนาเมืองที่ละเลยกลุ่มคนที่ไม่มีพื้นที่ในเมือง เช่น แรงงานนอกระบบ คนไร้บ้าน หรือชุมชนริมแม่น้ำ ซึ่งมักไม่มีเสียง ไม่มีพื้นที่ทำกิจกรรม หรือแม้กระทั่งไม่มีชื่ออยู่ในแผนพัฒนาเมือง ซึ่งทำให้แนวคิด “เมืองที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ที่เคยเป็นวาทกรรมสำคัญทางการเมือง อาจยังไม่สะท้อนอยู่ในภาพจริงของเมืองหลายแห่ง การออกแบบที่ไม่ครอบคลุม ยิ่งซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำ ทั้งเชิงเศรษฐกิจ โอกาส และความมั่นคงของชีวิต
ดังนั้น เพื่อการพัฒนาเมืองที่สมดุลจำเป็นต้องยึด 3 แนวทางสำคัญ คือ 1) สร้างจิตสำนึกและความเข้าใจแก่สังคม คนในเมืองควรมีความรู้พื้นฐานในการแยกแยะว่าอะไรคือการพัฒนาที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นบทบาทสำคัญของภาควิชาการ ไม่ใช่แค่ถามความคิดเห็นของชุมชนอย่างเดียว เพราะหากไม่มีหลักยึด การมีส่วนร่วมอาจกลายเป็นการสนับสนุนสิ่งที่ผิดโดยไม่รู้ตัว 2) สร้างกลไกเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นธรรม การพัฒนาเมืองไม่ควรเป็นเรื่องของ “ใครได้ประโยชน์” ฝ่ายเดียว แต่ต้องสร้างรูปแบบที่ภาครัฐ ประชาชน และภาคเอกชนได้รับประโยชน์ร่วมกัน เช่น โครงการที่ภาคเอกชนอาจยอมปรับเปลี่ยนวิธีดำเนินการเพื่อสร้างพื้นที่สาธารณะหรือสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น ขณะที่ภาครัฐก็ได้ต้นทุนทางสังคมและทางการเมืองมากขึ้น และ 3) การใช้ข้อมูลเพื่อตัดสินใจเชิงนโยบาย การพัฒนาเมืองงบประมาณมักมีอย่างจำกัด การตัดสินใจลงทุนต้องใช้ข้อมูล เช่น การเพิ่มพื้นที่สีเขียวไม่ควรหว่านทั่วเมืองโดยไม่คำนึงถึงบริบท ควรเลือก “โซนที่จำเป็น” เช่น พื้นที่สีเขียวในเขตที่มีประชากรหนาแน่นแต่ขาดแคลน ไม่ใช่ในพื้นที่ที่อิ่มตัวอยู่แล้ว เช่นนั้นการวางแนวทางที่เหมาะสมและการดำเนินงานอย่างมีหมุดหมายจึงเป็นกลไกสำคัญในการลดข้อท้าทายระหว่างกระบวนการพัฒนาเมืองได้
เหมือนกับแนวคิด ‘put the right man on the right job’ แต่ในที่นี้คือ ‘put the right project in the right area’ ดังนั้น การพัฒนาเมืองที่ดี ไม่ใช่แค่การทำทุกอย่างพร้อมกัน แต่คือการมองเห็นทุกด้าน แล้วจัดลำดับสิ่งที่ควรทำก่อน โดยอ้างอิงจากความต้องการของผู้คน และบริบทของพื้นที่นั้นอย่างรอบด้าน
นอกจากนี้แม้จะมีแนวคิดหรือแผนงานที่ดีเพียงใด หากปราศจากกลไกที่เอื้อต่อการลงมือปฏิบัติอย่างแท้จริง ก็ยากที่จะเกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืน การขับเคลื่อนนโยบายเมืองในประเทศไทยนั้นสะท้อนชัดถึงความท้าทายที่เกินขอบเขตอำนาจของคนทำงานในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ขั้นตอนของการนำนโยบายไปปฏิบัติที่เปลี่ยนแนวคิดไปสู่การดำเนินงานจริง ที่อาจมีปัจจัยแทรกซ้อนการผลักดันนโยบายต่าง ๆ อย่าง “แรงกระเพื่อมทางการเมือง” ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของนักพัฒนาเมือง เพราะเมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว ความสัมพันธ์ ความไว้วางใจ หรือแม้แต่ข้อตกลงเดิม ก็ต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง กลไกของความสำเร็จจึงไม่ได้อยู่เพียงแค่กระบวนการพัฒนาเท่านั้น แต่อยู่ที่เจตจำนงทางการเมืองด้วย
สิ่งที่ควรทำต่อจากนี้คือการพยายามสร้างความเข้าใจผ่านข้อมูล โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบาย เพราะหากมีข้อมูลเชิงประจักษ์ก็สามารถสร้างความเชื่อถือได้ ลดการถูกตีตราว่าเป็นโครงการของพรรคการเมืองเดิมที่ไม่ควรรับช่วงต่อ การขับเคลื่อนเชิงข้อมูล จึงช่วยให้สังคมมองเห็นคุณค่าของนโยบายอย่างเป็นกลาง โดยไม่ผูกมุมมองกับฝั่งการเมืองใด และยังช่วยรักษาให้โครงการดี ๆ จำนวนมากไม่ต้องหยุดชะงักลงด้วยเพียงเพราะปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุม
05 – ก้าวต่อไปของการพัฒนาเมืองในอนาคต แรงกระเพื่อมความร่วมมือคือคำตอบ
แม้การขับเคลื่อนเชิงข้อมูลจะช่วยสร้างความเข้าใจและลดอุปสรรคของการพัฒนาเมืองได้ แต่การพัฒนาเมืองคือกระบวนการที่ซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับทุกภาคส่วน การสร้างความร่วมมือจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการงานให้เกิดผลสำเร็จอย่างยั่งยืน
เมื่อถามถึงข้อกังวลกับการสานต่อภารกิจนี้ คุณอดิศักดิ์ตอบอย่างมั่นใจว่า “เมืองเป็นเรื่องของทุกคน” ไม่มีใครผูกขาด เพราะการพัฒนาเมืองไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย แต่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราทุกคน เช่น การเดินทางที่ลำบาก การเข้าถึงบริการพื้นฐาน หรือแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ ที่เราอาจบ่นกันอยู่ทุกวัน ล้วนสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของเมืองที่ต้องการการแก้ไข ซึ่งปัจจุบันทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นกระบอกเสียง ถ่ายทอดข้อมูล ทำงานเชิงสื่อสาร หรือแม้แต่การแสดงความคิดเห็นในพื้นที่สาธารณะ หากมีใจและความตั้งใจ งานนี้เปิดกว้างเสมอ
เพราะสิ่งสำคัญของการทำงานในการพัฒนาเมือง คือการทำงานข้ามศาสตร์ ด้วยความท้าทายของเมืองในปัจจุบันที่ซับซ้อนเกินกว่าจะจัดการได้ด้วยความรู้จากศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่ง ความร่วมมือระหว่างผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขาคือกุญแจสำคัญในการออกแบบเมืองที่ตอบโจทย์ทุกมิติ ทั้งนี้เทคโนโลยีและข้อมูลมีความสำคัญอย่างมาก จึงไม่ควรถูกมองว่าเป็นภาระหรือสิ่งแปลกปลอม แต่ควรถูกนำมาใช้สนับสนุนการตัดสินใจ สร้างความเข้าใจและทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างมีทิศทางที่ชัดเจน
สุดท้ายนี้แม้งานด้านนี้จะไม่ใช่เรื่องง่าย และอาจไม่เห็นผลลัพธ์ได้ในทันที แต่ทุกก้าวเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้น คือ “คุณูปการ” ที่จะส่งผลกระทบต่อสังคมในอนาคต และอาจกลายเป็นแรงกระเพื่อมที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นร่วมลุกขึ้นมาทำสิ่งเดียวสิ่งนี้ได้เช่นกัน ซึ่งงานด้านนี้ไม่ใช่งานที่สร้างรายได้สูงหรือทำให้รวยได้ ดังนั้น คนที่อยู่กับงานลักษณะนี้ได้จริงต้องมีแพชชั่นอย่างล้นหลาม เพื่อจะยังอยู่และสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อไป เพราะหากขาดความมุ่งมั่น งานเหล่านี้ก็จะไม่มีใครสานต่อ
“เราไม่จำเป็นต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เสมอไป เพราะการเริ่มต้นในประเด็นเล็ก ๆ และทำอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นแรงกระเพื่อมที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้ผู้คนหันมาสนใจได้อย่างดีที่สุด ” คุณอดิศักดิ์กล่าวทิ้งทาย
แพรวพรรณ ศิริเลิศ – สัมภาษณ์และผู้เรียบเรียง
อติรุจ ดือเระ – พิสูจน์อักษร
วิจย์ณี เสนแดง – ภาพประกอบ
● อ่านข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง
– ‘ไม่ขยับ ไม่ออกกำลังกาย’ เพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคไม่ติดต่อ เช่น ภาวะสมองเสื่อมและความดันโลหิตสูง
– พื้นที่สีเขียวช่วยเยียวยาสุขภาพกายและจิตใจ
– พื้นที่สีเขียวรอบโรงเรียนประถมศึกษา อาจช่วยพัฒนาผลการเรียนของนักเรียนได้
– ‘มิลาน’ พลิกโฉมพื้นที่จอดรถทั่วเมืองให้เป็นพื้นที่สาธารณะแห่งใหม่ภายในคืนเดียว
– SDG Insights | ‘ป่าในเมือง’ โครงสร้างพื้นฐาน ใหม่เพื่อสุขภาพของคนเมืองใหญ่
– SDG Insights | พื้นที่สีเขียว หัวใจสำคัญของเมืองยั่งยืน
ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ
#SDG3 สุขภาพเเละความเป็นอยู่ที่ดี
– (3.4) ลดการตายก่อนวัยอันควรจากโรคไม่ติดต่อให้ลดลงหนึ่งในสาม ผ่านทางการป้องกันและการรักษาโรค และสนับสนุนสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดี ภายในปี 2573
#SDG11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
– (11.1) สร้างหลักประกันว่าทุกคนจะเข้าถึงที่อยู่อาศัยและการบริการพื้นฐานที่พอเพียงให้ปลอดภัย และในราคาที่สามารถจ่ายได้ และยกระดับชุมชนแออัด ภายในปี 2573
– (11.2) ภายในปี 2573 จัดให้ทุกคนเข้าถึงระบบคมนาคมขนส่งที่ยั่งยืน เข้าถึงได้ ปลอดภัย ในราคาที่สามารถจ่ายได้ พัฒนาความปลอดภัยทางถนน โดยการขยายการขนส่งสาธารณะ โดยคำนึงถึงกลุ่มคนที่อยู่ในสถานการณ์ที่เปราะบาง ผู้หญิง เด็ก ผู้มีความบกพร่องทางร่างกาย และผู้สูงอายุ เป็นพิเศษ
– (11.3) ยกระดับการพัฒนาเมืองและขีดความสามารถให้ครอบคลุมและยั่งยืน เพื่อการวางแผนและการบริหารจัดการการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์อย่างมีส่วนร่วมบูรณาการและยั่งยืนในทุกประเทศ ภายในปี 2573
– (11.6) ลดผลกระทบทางลบต่อสิ่งแวดล้อมต่อหัวประชากรในเขตเมือง รวมถึงการให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อการจัดการคุณภาพอากาศ การจัดการของเสียของเทศบาล และการจัดการของเสียอื่น ๆ ภายในปี 2573
– (11.7) จัดให้มีการเข้าถึงพื้นที่สาธารณะสีเขียว ที่ปลอดภัยครอบคลุมและเข้าถึงได้ โดยถ้วนหน้า โดยเฉพาะผู้หญิง เด็ก คนชรา และผู้มีความบกพร่องทางร่างกาย ภายในปี 2573
– (11.a) สนับสุนนการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมระหว่างพื้นที่เมือง รอบเมือง และชนบท โดยการเสริมความแข็งแกร่งของการวางแผนการพัฒนาในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ
#SDG16 ความสงบสุข ยุติธรรม และสถาบันเข้มแข็ง
– (16.7) สร้างหลักประกันว่าจะมีกระบวนการตัดสินใจที่มีความรับผิดชอบ ครอบคลุม มีส่วนร่วม และมีความเป็นตัวแทนที่ดี ในทุกระดับการตัดสินใจ
– (16.10) สร้างหลักประกันว่าสาธารณชนสามารถเข้าถึงข้อมูลและมีการปกป้องเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ตามกฎหมายภายในประเทศและความตกลงระหว่างประเทศ
#SDG17 ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
– (17.17) สนับสนุนและส่งเสริมหุ้นส่วนความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาครัฐ-ภาคเอกชน และประชาสังคม สร้างบนประสบการณ์และกลยุทธ์ด้านทรัพยากรของหุ้นส่วน