SDG Insights | เสียงจากพื้นที่ภาคใต้ชายแดน: บทสรุปเวทีระดมความต้องการยุทธศาสตร์พัฒนาและการหนุนเสริมโดยกลไกวิทยาศาสตร์ วิจัย เเละนวัตกรรม (ววน.) ภายใต้โครงการ Area Need 3

โครงการ Area Need ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและเป็นประโยชน์ในหลายมิติ โดยเฉพาะการผลักดันแนวคิด SDG Localization ที่มุ่งเน้นการปรับใช้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ให้เหมาะสมกับบริบทเฉพาะของแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ โดยครอบคลุมทั้ง 6 ภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคใต้ชายแดน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของพื้นที่

หนึ่งในกระบวนการสำคัญของ Area Need 3 คือการจัดทำ ‘ดัชนีการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับจังหวัด’ หรือที่เรียกว่า ‘Provincial SDG Index’ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการวัดและติดตามความก้าวหน้าด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนในแต่ละพื้นที่ผ่านการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลระดับชาติที่เกี่ยวข้องกับตัวชี้วัดของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ควบคู่กับการวิเคราะห์ช่วงว่างของข้อมูลผ่านกระบวนการประชุมเชิงปฏิบัติการ  เพื่อนำเสนอข้อมูลความท้าทายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับภูมิภาคและรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระดับพื้นที่ 

SDG Insights ฉบับนี้พาสำรวจผลดัชนีการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Index) ระดับจังหวัดของภาคใต้ชายแดนที่ได้จากการรวบรวมข้อมูลตามตัวชี้วัดในระดับจังหวัดตามประเด็น SDGs พร้อมเจาะลึกภาพรวมของการประชุมเชิงปฏิบัติการที่เปิดรับฟังข้อมูลความท้าทายและร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลากหลายกลุ่มจากพื้นที่ภาคใต้ชายแดน


01 – ภาพรวมการประชุมรับฟังความคิดเห็นภาคใต้ชายแดน

วันที่ 14 กุมภาพันธ์​ 2568 ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี คณะทำงานระดับภาคใต้ชายแดน ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “นำเสนอข้อมูลความท้าทายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับภูมิภาคและรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียระดับพื้นที่ (ภาคใต้ชายแดน)” โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) 

การประชุมข้างต้นมีผู้เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการ ทั้งสิ้น 66 คน ประกอบด้วย ภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม  ภาคเอกชน  และประชาชนจากภาคส่วนและหน่วยงานที่หลากหลาย เช่น สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 9 มูลนิธิดิจิทัลเพื่อสันติภาพ สภาประชาสังคมชายแดนใต้ และสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดปัตตานี


02 – ข้อค้นพบเบื้องต้นจากดัชนีของภาคใต้ชายแดน

การประชุมเชิงปฏิบัติการ ผศ.ชล บุนนาค ผู้อำนวยการ SDG Move ได้นำเสนอข้อมูลประเด็นความท้าทายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนและข้อค้นพบจากกระบวนการจัดทำ SDG Index ระดับจังหวัด

จากการประมวลและวิเคราะห์ข้อมูลพบว่าในพื้นที่ภาคใต้ชายแดน มีประเด็นความเสี่ยงร่วมกันที่เกี่ยวข้องกับ SDGs ทั้งสิ้น 15 ประเด็น ได้เเก่ 

  • SDG 1 ยุติความยากจน เฉพาะประเด็นสัดส่วนคนจน เป้าหมายที่ลงทะเบียนในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐต่อจำนวนคน เป้าหมายตามดัชนี MPI 
  • SDG 2 ยุติความหิวโหย เฉพาะประเด็นภาวะโภชนาการของเด็กอายุ 0 – 5 ปี ดัชนีส่วนสูงตามเกณฑ์อายุ (ภาวะเตี้ย) ประเด็นความชุกของภาวะอ้วน และประเด็นร้อยละของประชากรอายุ 15 – 29 ปี มีภาวะโภชนาการปกติ
  • SDG 3 สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี เฉพาะประเด็นจำนวนผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศต่อประชากรแสนคน และประเด็นการให้บริการวัคซีนในเด็กกลุ่มอายุ 0 – 1 ปี จำแนกรายวัคซีน 
  • SDG 5 ความเท่าเทียมทางเพศ เฉพาะประเด็นร้อยละของหญิงอายุ 15 – 49 ปี ที่ได้รับบริการคุมกำเนิดหลังคลอดหรือหลังแท้ง และประเด็นอัตราแรงงานในระบบหญิงต่อชาย
  • SDG 6 น้ำสะอาดและการสุขาภิบาล เฉพาะประเด็นร้อยละของครัวเรือนที่มีน้ำดื่มสะอาด และประเด็นจำนวนระบบบำบัดน้ำเสียที่เดินระบบ
  • SDG 8 งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ เฉพาะประเด็น GPP Growth 
  • SDG 10 ลดความเหลื่อมล้ำ เฉพาะประเด็นอัตราส่วนระหว่างรายได้ของกลุ่มที่มีรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนมากที่สุด (Q5) กับรายได้ของกลุ่มที่มีรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนน้อยที่สุด
  • SDG 11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน เฉพาะประเด็นสัดส่วนพื้นที่สีเขียวต่อประชากร
  • SDG 12 การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน เฉพาะประเด็นจำนวนโรงเเรมที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Green Hotel
  • SDG 17 ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เฉพาะประเด็นผลการจัดเก็บภาษีอากรรายจังหวัด ต่อ GPP

ด้านภาพรวมดัชนีรายจังหวัด ผศ.ชล เผยว่าทั้ง 3 จังหวัดมีคะแนน SDG Index เรียงลำดับจากมากไปน้อย ดังนี้ ปัตตานี (56.15 คะแนน) นราธิวาส (51.79 คะแนน) และยะลา (50.09 คะแนน)

ข้อมูลดัชนีที่นำเสนอเป็นข้อมูลเบื้องต้นอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งได้จากการวิเคราะห์เอกสารสถิติและข้อมูลระดับชาติที่เกี่ยวข้องกับแต่ละเป้าหมาย ทั้งนี้ยังมิได้นำผลจากการประชุมปฏิบัติการมาเปรียบเทียบและเพิ่มเติมตัวชี้วัดที่ได้รับคำแนะนำจากความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งจะถูกนำมาวิเคราะห์และผนวกเพิ่มเติมในรายการตัวชี้วัดในระยะถัดไป เพื่อจัดทำ SDG Index ที่สมบูรณ์และครอบคลุมยิ่งขึ้น

วิธีการสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อจัดทำดัชนี มี 3 ขั้นตอน ได้แก่
1. การทบทวนวรรณกรรม (literature review) : สำรวจรายการตัวชี้วัดในการจัดทำจากหลายแหล่ง ได้แก่ SDG Index รายงานความยั่งยืนระดับกลุ่มจังหวัด รายงานความก้าวคืบหน้าการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Profile) และ รายงานสถานะตัวชี้วัดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ พ.ศ. 2566 จากนั้นจึงหา Proxy Indicator และระบุตัวชี้วัดที่จะใช้ในโครงการและประสานงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2. การรวบรวมข้อมูล (data collection) : ดึงข้อมูลหรือขอความอนุเคราะห์ข้อมูลระดับจังหวัดจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และกำหนดกฎเกณฑ์ค่าเป้าหมายต่าง ๆ
3. การวิเคราะห์ข้อมูล (data processing and analysis) : รวบรวมข้อมูลตัวชี้วัดลงในเทมเพลตการคำนวณ จากนั้นจึง normalization ค่าข้อมูลให้อยู่ในช่วง 0-100 และหาค่าเฉลี่ยรายเป้าหมายระดับจังหวัด ระดับภาค พร้อมทั้งระบุประเด็นท้าทายรายจังหวัด


03 – ปัญหาและยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาภาคใต้ชายแดน

อาจารย์นันทินี มาลานนท์ รองผู้อำนวยการ SDG Move ได้นำกระบวนการทบทวนและรับฟังประเด็นความต้องการด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับพื้นที่ร่วมกับกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พร้อมระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับกลไกการขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.) เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับภูมิภาคใต้ชายแดน โดยพบว่าหลายภาคส่วนเห็นพ้องถึงประเด็นที่ควรได้รับการแก้ไขและพัฒนาอย่างเร่งรัด แบ่งได้ออกเป็น 3  มิติ ได้แก่

มิติสังคม

  • ความยากจน โดยเฉพาะหนี้สะสมและการขาดที่ดิน/ทุนในการทำกิน [SDG1, SDG10]
  • เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาและการศึกษาที่ไม่มีคุณภาพ [SDG4] [SDG10]
  • ระบบขนส่งสาธารณะขาดแคลน ไม่หลากหลาย และราคาแพง [SDG9] [SDG10]
  • เด็กมีภาวะแคระเเกร็นและขาดสารอาหาร [SDG3] 

มิติเศรษฐกิจ

  • เกษตรกรขาดศักยภาพและปัจจัยการผลิตสูง แต่ผลผลิตมีราคาตกต่ำ [SDG2] [SDG8]
  • การว่างงานเนื่องจากแรงงานในพื้นที่ขาดทักษะและความรู้ [SDG4] [SDG8] 
  • เศรษฐกิจซบเซาและการลงทุนจากภาคธุรกิจลดลง[SDG8] 

มิติสิ่งแวดล้อม

  • ขยะล้นเมืองเนื่องจากการจัดการที่ไม่ถูกต้อง [SDG11] SDG12]
  • ภัยพิบัติโดยเฉพาะน้ำท่วมที่ซ้ำซาก [SDG13]
  • โครงการพัฒนาของรัฐ/เอกชนที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม [SDG8] [SDG12] [SDG15]

จากประเด็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนข้างต้น ด้าน ผศ. ดร.อัตชัย เอื้ออนันตสันต์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ชี้ว่านี่ไม่ใช่ประเด็นที่แปลกใหม่มากนัก ผู้เข้าร่วมก็เห็นปัญหาร่วมกันอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ได้เพิ่มเติมคือมุมมองและประสบการณ์ของแต่ละคนที่มีความแตกต่างกันในระดับพื้นที่จริง ๆ ขณะที่คนทำงานวิชาการหรือวิจัยอาจจะมีแค่ข้อมูลมือ 2 หรือข้อมูลทุติยภูมิ แต่การแลกเปลี่ยนและถกสนทนาที่จัดขึ้นได้เปิดโอกาสให้ได้รับฟังข้อมูลจากคนในพื้นที่จริง ๆ เป็นรายละเอียดที่หนุนเสริมประเด็นต่าง ๆ ให้คมชัดและหลากหลายมากยิ่งขึ้น 

ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมประชุม ยังได้ร่วมกันเสนอทิศทางเชิงยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาเเละเเก้ไขปัญหาในพื้นที่ โดยมุ่งเน้นไปที่การใช้วิจัย วิทยาศาสตร์ เเละนวัตกรรม เช่น 

  • ​​กลไกในการดึงเด็กกลับเข้าระบบการศึกษาที่สอดคล้องกับปัญหาครอบครัวและวัฒนธรรมของพื้นที่
  • การวิเคราะห์ความต้องการด้านต้นทุนและทักษะของคนในพื้นที่เพื่อสนับสนุนอุปกรณ์/ความรู้ในการประกอบอาชีพ
  • งานวิจัยที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • นวัตกรรมการเรียนรู้สร้าง “หลักสูตร พัฒนาผู้เรียนให้สามารถเป็นผู้ประกอบการ”
  • การศึกษาและออกแบบระบบรับมือน้ำท่วมที่มีศักยภาพ โดยเน้นบทบาทของชลประทานจังหวัด

04 – ปัจจัยความสำเร็จในการประชุมรับฟังความคิดเห็น

เมื่อถามถึงมุมมองต่อความสำเร็จของการจัดเวทีการประชุมเชิงปฏิบัติการข้างต้น ผศ. ดร.อัตชัย เผยว่าการจัดเวทีประชุมข้างต้นประสบความสำเร็จอย่างน่าประทับใจ โดยเห็นได้ว่าผู้เข้าร่วมเป็นตัวชี้วัดว่ามีคนให้ความสนใจจำนวนมาก รวมถึงมีความหลากหลายของกลุ่มที่เป็นหน่วยงานของรัฐ ชุมชน องค์กรอิสระ สถาบันการศึกษา กลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้เป็นภาพสะท้อนของตัวแทนของกลุ่มต่าง ๆ ในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี และแม้ความคิดเห็นที่ได้มีมุมมองที่แตกต่างกัน แต่ในประเด็นด้านความยั่งยืนทุกคนมองเห็นประเด็นร่วมกันอยู่ซึ่งไม่ได้เป็นประเด็นที่แตกกระจายออกเป็นประเด็นย่อยมากเกินไป นอกจากนี้ ความหลากหลายของผู้เข้าร่วมยังอำนวยให้เกิดข้อเสนอแนะที่มีความหลากหลายและหลายความคิดเห็นก็สามารถนำไปสู่การดำเนินนโยบายได้จริง 

ทั้งนี้ หากถามว่าอะไรคือปัจจัยที่เอื้อให้ประสบความสำเร็จได้เช่นนี้ ประการแรก คือมอ.ปัตตานี อยู่กับพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้มายาวนานกว่า 58 ปี ทำให้เข้าใจบริบทสังคมและเป็นสถาบันการศึกษาที่ได้รับการยอมรับเชื่อใจจากคนท้องถิ่น โดยเฉพาะบทบาทในการหนุนเสริมพัฒนาพื้นที่ มากไปกว่านั้นคือยังทำงานเป็นเครือข่ายกับสถาบันการศึกษาอื่น ๆ เช่น มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ซึ่งช่วยให้การทำงานขับเคลื่อนพื้นที่มีพลังและมีความสัมพันธ์อันดี ส่งผลให้เมื่อลงไปปฏิบัติงานระดับพื้นที่ หรือจัดกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงการจัดประชุมปฏิบัติการครั้งนี้จึงได้รับการตอบรับจากคนกลุ่มต่าง ๆ

ประการต่อมาคือความเข้มแข็งด้านทรัพยากรและพื้นที่ มอ.ปัตตานี มีความพร้อมสำหรับเอื้ออำนวยความสะดวก โดยเฉพาะอาคารสำนักงานวิทยาเขตซึ่งเป็นอาคารที่มีห้องประชุมที่รองรับการประชุมเชิงปฏิบัติการ (workshop) ตลอดจนการเดินทางมาก็ค่อนข้างสะดวก

นอกจากนี้ อีกปัจจัยสำคัญที่ควรกล่าวถึงคือ ความมุ่งมาดปรารถนา (passion) ของ มอ.ปัตตานี เอง ที่ตั้งใจมีส่วนร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ในการทำงานขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยเองมีการขับเคลื่อน SDGs มาโดยตลอด และมีการทำงานร่วมกับหลายครือข่าย เช่น เครือข่ายมหาวิทยาลัยยั่งยืนแห่งประเทศไทยหรือ SUN Thailand อีกเครือข่ายหนึ่งก็คือ SDG Move จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีนักวิจัยเข้าไปช่วยทำงานหรือร่วมมือกันไปศึกษาในพื้นที่ต่าง ๆ นอกจากนี้ มอ.ปัตตานี ยังมองเห็นประโยชน์ในพื้นที่ การที่อาสานำเวทีในเรื่องการระดมความเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับ SDGs ก็หวังว่าจะได้รวมคนคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องมาเจอกันเพื่อให้ได้แลกเปลี่ยนกัน โดยสรุปแล้ว ความตั้งใจของ มอ.ปัตตานี ครอบคุลมทั้งการขยายความร่วมมือเชิงเครือข่าย การเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่เข้ามาระดมความคิดเห็น และโอกาสที่มหาวิทยาลัยจะได้รับฟังความคิดเห็นนั้น และหวังว่าดัชนีหรือรายงานซึ่งเป็นผลลัพธ์จะไม่ใช่เพียงแค่เอกสารที่เขียนออกมาแล้วจบแต่จะส่งต่อให้กับผู้ที่เข้าร่วมงานด้วย ทำให้ทุกคนได้เห็นภาพเดียวกัน และการแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่สู่ความยั่งยืนจะมีเป้าหมายที่ชัดเจนร่วมกันมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในระยะยาว

อย่างไรก็ดี ผศ. ดร.อัตชัย เสนอแนะว่าการจัดเวทีฯ อาจมีประสิทธิภาพมากขึ้นหากผู้เข้าร่วมมีโอกาสรับรู้ประเด็นหรือหัวข้อที่จะชวนถกสนทนาล่วงหน้า เพื่อให้พวกเขาสามารถรวบรวมข้อมูลจากเครือข่ายก่อนมาแลกเปลี่ยนได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้มีรายละเอียดในแต่ละประเด็นที่เข้มข้นขึ้นในเวลาที่มีจำกัด 


05 – มอ.ปัตตานี กับบทบาทขับเคลื่อน SDGs และหนุนเสริมระบบ ววน.

ผศ. ดร.อัตชัย กล่าวว่า มอ.ปัตตานี มีศักยภาพและพร้อมหนุนเสริมการขับเคลื่อน ระบบ ววน. โดยผลงานที่ผ่านมาช่วยทำให้มั่นใจได้ว่าเอาจริงเอาจังกับประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืน การดำเนินงานที่เด่นชัดเกิดขึ้นภายใต้แนวคิด “2 ลดและ 2 เพิ่ม” 2 ลดคือวิเคราะห์จากปัญหาของพื้นที่ที่มหาวิทยาลัยต้องมีบทบาทในการช่วยบรรเทาหรือลดผลกระทบจากปัญหา ซึ่งปัญหาแรกคือความยากจน เพราะพื้นที่ 3 จังหวัดจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นพื้นที่ที่หากพิจารณาตามเกณฑ์เส้นความยากจนจะพบว่าอยู่ท้ายสุดของประเทศมาโดยตลอด 

ตัวอย่างโครงการแก้จนที่ทำมาและเห็นผล เช่น โครงการแก้จนในพื้นที่ปัตตานีต่อเนื่องมาเป็นเวลา 5 ปี ซึ่งดำเนินต่อเนื่องมากว่า 5 ปีแล้ว โดยในเชิงกระบวนการมีการเก็บรวบรวมข้อมูลในระบบแพลตฟอร์มที่สามารถระบุได้ว่ามีคนจนกระจายหรือกระจุกอยู่ตรงบริเวณใด จนอย่างไร และจะช่วยเหลือคนเหล่านั้นได้อย่างไร เนื่องจากมีการทำงานร่วมกับภาครัฐ เมื่อได้ข้อมูลมาก็ส่งต่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ

ส่วนอีกปัญหาคือสุขภาพ โดยเฉพาะในเรื่องสุขอนามัยและสุขภาวะของแม่และเด็กในซึ่งพบว่าคุณแม่ตั้งครรภ์เสียชีวิตมากที่สุดของประเทศ และเด็กที่คลอดออกมาจากการที่มีความเข้าใจและมีความเชื่อที่มีความแตกต่างจากการแพทย์ในบริบทปัจจุบันทำให้เด็กมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ มีปัญหาด้านการแคระแกร็นทั้งทางร่างกายและสติปัญญา ตรงนี้ มอ.ปัตตานี ก็จะเข้าไปช่วยเพื่อให้เกิดการลดเจ็บ

ตัวอย่างการดำเนินงานขับเคลื่อน เราจะมีคณะพยาบาลศาสตร์กับคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีช่วยในเรื่องของสุขอนามัยของแม่และเด็ก เรื่องวัคซีน การฝากครรภ์ อาหาร เรามีการพัฒนาเมนูอาหารเช้าที่มีค่าใช้จ่ายไม่สูงและนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ทางจังหวัดก็สามารถนำมาต่อยอดเป็นนโยบายให้เด็กมีอาหารที่สุขอนามัย

ขณะที่ “2 เพิ่ม” ได้แก่ เพิ่มแรกคือการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ มอ.ปัตตานี มีบทบาทสำคัญโดยเฉพาะการดูแลอนุรักษ์พื้นที่ป่า พื้นที่ติดทะเล และพื้นที่ลุ่มน้ำ เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ โดยมุ่งเน้นไปการใช้ทุนทรัพยากรที่มีทั้งทางวิจัยและการปฏิบัติแก่การสร้างความเข้มแข็งและรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ และให้ความสนใจกับ SDG13 SDG14 และ SDG15 ตัวอย่างสำหรับเรื่องนี้ เช่นโครงการฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจรอบอ่าวปัตตานี ในเชิงระบบนิเวศ เศรษฐกิจ การมีงานทำ ประมงชายฝั่ง การเกษตร และมีโครงการปูทะเล เพาะลูกปูให้มีชีวิตรอดและส่งต่อพันธุ์ปูให้ประชาชนในพื้นที่เพื่อหารายได้ ซึ่งเราก็มีโครงการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ การค้นพบสัตว์สายพันธ์ุใหม่ก็มีโครงการแบบนี้อยู่

ส่วนเพิ่มที่สอง คือการเพิ่มทุนทางวัฒนธรรม มอ.ปัตตานีมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนกลุ่มวงแหวนวัฒนธรรม โดยผลักดันวงแหวนในเมืองปัตตานีให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ สนับสนุนและปรับปรุงพื้นที่ชุมชน การทำผลิตภัณฑ์ต้นแบบ เช่น การทำเกี้ยวจำลองของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวซึ่งออกแบบโดยคณะศิลปกรรมศาสตร์ การพัฒนาชุมชนกือดาจีนอที่เป็นตลาดจีนให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังมีการฟื้นฟูผ้าจวนตานี นำผ้าโบราณของปัตตานีมาทำเป็นผ้าบาติก เกิดเป็นลายลีมาบาติก เหล่านี้ช่วยส่งเสริมรายได้ให้ท้องถิ่น

จากประสบการณ์ข้างต้นสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ มอ.ปัตตานี ได้เป็นอย่างดี และเมื่อถามต่อว่าจะปรับใช้ความเชี่ยวชาญหรือประสบการณ์เหล่านั้นสำหรับหนุนเสริมระบบ ววน. ในอนาคตอันใกล้อย่างไร ผศ. ดร.อัตชัย ชี้ว่ามี 3 ประเด็นที่สามารถขยับขับเคลื่อนได้ ได้แก่ 1) องค์ความรู้ที่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาหลายประเด็นซึ่งจำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ต้องเข้ามาใช้ และไม่ใช่แค่ด้านวิทยาศาสตร์แต่ต้องครอบคลุมทางสังคมด้วย เช่น เรื่องรายได้ ความยากจน การออม ก็เป็นโมเดลที่ มอ.ปัตตานี สามารถช่วยได้ 2) การสนับสนุนและพัฒนาประสิทธิภาพของฐานข้อมูลกลางที่ทุกคนสามารถนำข้อมูลมารวมกันและใช้ร่วมกันได้ และ 3) การผลักดันและคิดข้อเสนอเชิงนโยบาย มอ.ปัตตานีจะมีส่วนสำคัญในการรวบรวมความคิดเห็นและขับเคลื่อนเชิงนโยบายที่จะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

  

ซีรีส์ Area Need จะสรุปข้อค้นพบสำคัญของโครงการปีที่ 1 - 2 และอัปเดตสิ่งที่เรากำลังทำต่อในปีที่ 3 ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป 

อติรุจ ดือเระ – เรียบเรียง
แพรวพรรณ ศิริเลิศ – พิสูจน์อักษร
วิจย์ณี เสนเเดง – ภาพประกอบ

Last Updated on พฤษภาคม 29, 2025

Author

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็นและรายละเอียดของท่านจะถูกเก็บเป็นความลับและใช้เพื่อการพัฒนาการสื่อสารองค์ความรู้ของ SDG Move เท่านั้น
* หมายถึง ข้อมูลที่จำเป็น