SDG Insights | เสียงจากพื้นที่ภาคเหนือ: บทสรุปเวทีระดมความต้องการยุทธศาสตร์พัฒนาและการหนุนเสริมโดยกลไกวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.)  ภายใต้โครงการ Area Need 3

โครงการ Area Need ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในหลายมิติ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนแนวคิด SDG Localization ที่มุ่งเน้นการปรับใช้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ให้เหมาะสมกับบริบทเฉพาะของแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ โดยครอบคลุมทั้ง 6 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคใต้ชายแดน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและสามารถตอบโจทย์ความต้องการของพื้นที่ได้อย่างแท้จริง

หนึ่งในกระบวนการสำคัญของ Area Need 3 คือการจัดทำ ‘ดัชนีการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับจังหวัด’ หรือที่เรียกว่า ‘Provincial SDG Index’ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการวัดและติดตามความก้าวหน้าด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนในแต่ละพื้นที่ ผ่านการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลระดับชาติที่เกี่ยวข้องกับตัวชี้วัดของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ควบคู่กับการวิเคราะห์ช่วงว่างของข้อมูล ผ่านกระบวนการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อนำเสนอข้อมูลความท้าทายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับภูมิภาคและรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระดับพื้นที่ 

SDG Insights ฉบับนี้พาสำรวจผลดัชนีการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Index) ระดับจังหวัดของภาคเหนือที่ได้จากการรวบรวมข้อมูลตามตัวชี้วัดในระดับจังหวัดตามประเด็น SDGs พร้อมเจาะลึกภาพรวมของการประชุมเชิงปฏิบัติการ ที่เปิดรับฟังข้อมูลความท้าทายและร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลากหลายกลุ่มจากพื้นที่ภาคเหนือ 


01 – ภาพรวมการประชุมรับฟังความคิดเห็นภาคเหนือ 

วันที่ 10 มีนาคม 2568 ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะทำงานระดับภาคเหนือได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “นำเสนอข้อมูลความท้าทายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับภูมิภาคและรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียระดับพื้นที่ (ภาคเหนือ)” โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) 

การประชุมข้างต้นมีผู้เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการ ทั้งสิ้น 52 คน ประกอบด้วย ภาครัฐ 14 คน ภาควิชาการ 33 คน ภาคประชาสังคม 4 คน และภาคเอกชน  1 คน  จากภาคส่วนและหน่วยงานที่หลากหลาย เช่น มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มูลนิธิคนคนเพียงไพร ประชาสังคมจังหวัดพะเยา และหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ 


02 – สรุปข้อค้นพบเบื้องต้นจากดัชนีระดับภาค

การประชุมเชิงปฏิบัติการ ผศ.ชล บุนนาค ผู้อำนวยการ SDG Move ได้นำเสนอข้อมูลประเด็นความท้าทายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนและข้อค้นพบจากกระบวนการจัดทำ SDG Index ระดับจังหวัด จากการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลพบว่าในพื้นที่ภาคเหนือมีประเด็นความเสี่ยงร่วมกันที่เกี่ยวข้องกับ SDGs ทั้งสิ้น 8 เป้าหมาย 12 ประเด็น ได้แก่ 

  • SDG 1 ยุติความยากจน เฉพาะประเด็นสัดส่วนคนจนเป้าหมายที่ลงทะเบียนในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐต่อจำนวนคนจนเป้าหมายตามดัชนีความยากจนหลายมิติ (MPI)
  • SDG 2 ยุติความหิวโหย เฉพาะประเด็นภาวะโภชนาการของเด็กอายุ 0 – 5 ปี ดัชนีส่วนสูงตามเกณฑ์อายุ (ภาวะเตี้ย) ประเด็นความชุกของภาวะอ้วน (BMI ≥ 25 กก./ม.2) และ/หรือ ภาวะอ้วนลงพุง (รอบเอวเกิน ชาย 90 ซม. หญิง 80 ซม.) และประเด็นร้อยละของพื้นที่ทำการเกษตรที่ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ
  • SDG3 สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี เฉพาะประเด็นจำนวนผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศต่อประชากรแสนคน
  • SDG8 งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ เฉพาะประเด็นสัดส่วนแรงงานนอกระบบต่อกำลังแรงงานทั้งหมด
  • SDG9 โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม และอุตสาหกรรม เฉพาะประเด็นร้อยละของครัวเรือนที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ต และ ประเด็นจำนวนบทความ/งานวิจัยที่เผยแพร่ในฐานข้อมูล Scopus
  • SDG11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน เฉพาะประเด็นความเข้มข้นของ PM2.5 และประเด็นสัดส่วนผู้ประกอบการขนส่งประจำทางต่อประชากร
  • SDG12 การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน เฉพาะประเด็นจำนวนโรงแรมที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Green Hotel
  • SDG 17 ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เฉพาะประเด็นผลการจัดเก็บภาษีอากรรายจังหวัด ต่อ GDP

ด้านภาพรวมดัชนีรายจังหวัด ผศ.ชล เผยว่าจังหวัดที่มีคะแนน SDG Index สูงสุด 5 อันดับแรกของภาคเหนือ ได้แก่ อันดับที่ 1 ลำพูน (60.12 คะแนน) อันดับที่ 2 กำแพงเพชร (58.28 คะแนน) อันดับที่ 3 น่าน (58.26 คะแนน) อันดับที่ 4 พะเยา (56.44 คะแนน) และอันดับที่ 5 ลำปาง (55.74 คะแนน) ส่วนจังหวัดที่รั้งท้ายอันดับที่ 17 คือจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้คะแนน 37.1 คะแนน 

ข้อมูลดัชนีที่นำเสนอเป็นข้อมูลเบื้องต้นอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งได้จากการวิเคราะห์เอกสารสถิติและข้อมูลระดับชาติที่เกี่ยวข้องกับแต่ละเป้าหมาย ทั้งนี้ยังมิได้นำผลจากการประชุมปฏิบัติการมาเปรียบเทียบและเพิ่มเติมตัวชี้วัดที่ได้รับคำแนะนำจากความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งจะถูกนำมาวิเคราะห์และผนวกเพิ่มเติมในรายการตัวชี้วัดในระยะถัดไป เพื่อจัดทำ SDG Index ที่สมบูรณ์และครอบคลุมยิ่งขึ้น

วิธีการสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อจัดทำดัชนี มี 3 ขั้นตอน ได้แก่
1. การทบทวนวรรณกรรม (literature review): สำรวจรายการตัวชี้วัดในการจัดทำจากหลายแหล่ง ได้แก่ SDG Index รายงานความยั่งยืนระดับกลุ่มจังหวัด รายงานความก้าวคืบหน้าการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Profile) และ รายงานสถานะตัวชี้วัดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ พ.ศ. 2566 จากนั้นจึงหา Proxy Indicator และระบุตัวชี้วัดที่จะใช้ในโครงการและประสานงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2. การรวบรวมข้อมูล (data collection): ดึงข้อมูลหรือขอความอนุเคราะห์ข้อมูลระดับจังหวัดจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และกำหนดกฎเกณฑ์ค่าเป้าหมายต่าง ๆ
3. การวิเคราะห์ข้อมูล (data processing and analysis): รวบรวมข้อมูลตัวชี้วัดลงในเทมเพลตการคำนวณ จากนั้นจึง normalization ค่าข้อมูลให้อยู่ในช่วง 0-100 และหาค่าเฉลี่ยรายเป้าหมายระดับจังหวัด ระดับภาค พร้อมทั้งระบุประเด็นท้าทายรายจังหวัด


03 – ปัญหาและยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาภาคเหนือ

อาจารย์นันทินี มาลานนท์ รองผู้อำนวยการ SDG Move ได้นำกระบวนการทบทวนและรับฟังประเด็นความต้องการด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับพื้นที่ร่วมกับกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พร้อมระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับกลไกการขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.) เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับภูมิภาคเหนือ โดยพบว่าหลายภาคส่วนเห็นพ้องถึงประเด็นที่ควรได้รับการแก้ไขและพัฒนาอย่างเร่งรัด แบ่งได้ออกเป็น 3  มิติ ได้แก่

มิติสังคม

  1. ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เด็กไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาได้ [SDG 4, SDG 10]
  2. ปัญหาผู้สูงอายุในชุมชนถูกทอดทิ้ง [SDG1, SDG3]
  3. ช่องว่างการรู้เท่าทันสื่อและเทคโนโลยีของประชาชน [SDG9]
  4. ความรุนแรงในครอบครัวและความเปราะบางทางสังคม [SDG5, SDG 10,SDG16]
  5. ขาดระบบการดูแลแรงงานต่างด้าวและคนไร้รัฐ  [SDG8, SDG10]

มิติเศรษฐกิจ

  1. รายได้ไม่เพียงพอกับค่าครองชีพ โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร  [SDG1, SDG8]
  2. ต้นทุนทางการเกษตรสูงแต่ผลตอบแทนตกต่ำ  [SDG1,SDG2, SDG12]
  3. การเคลื่อนย้ายแรงงานภาคเกษตรและการละทิ้งอาชีพเดิม [SDG1, SDG2, SDG8]
  4. ความยากจนเนื่องจากข้อจำกัดด้านอาชีพ [SDG1, SDG8] 

มิติสิ่งแวดล้อม

  1. ปัญหามลพิษทางอากาศฝุ่น PM2.5  [SDG3, SDG11]
  2. น้ำท่วมรุนแรงส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร [SDG2, SDG13]
  3. การจัดการขยะและขยะล้นเมือง [SDG11, SDG12]
  4. การลดลงของพื้นที่สีเขียวและการบุกรุกป่า [SDG15]

จากประเด็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนข้างต้น ด้าน ผศ. ดร.ไพรัช พิบูลย์รุ่งโรจน์ ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หนึ่งในคณะทำงานหลักระดับภาคเหนือ กล่าวว่าปัญหามลพิษทางอากาศจากฝุ่น PM2.5 ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกภาคส่วนให้ความสนใจและหยิบยกมาพูดถึงในทุกเวที ขณะเดียวกันอยากเสริมสิ่งที่ควรให้ความสำคัญควบคู่กันไปคือการสร้าง “โครงสร้างเศรษฐกิจใหม่” ที่ไมเพียงภาคเหนือหรือจังหวัดเชียงใหม่เท่านั้น หากแต่เป็นวาระที่ทุกพื้นที่ควรตระหนักและหันมาให้ความสนใจร่วมกัน เนื่องจาก “เราไม่สามารถแก้ปัญหาเดิมด้วยวิธีเดิมได้” 

ผศ. ดร.ไพรัช สะท้อนให้เห็นว่าการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ต้องตั้งอยู่บนฐานความเข้าใจต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเเละภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม หรือปัญหาฝุ่นควัน การออกแบบระบบเศรษฐกิจที่สามารถอยู่ร่วมกับสภาวะเหล่านี้ได้อย่างยั่งยืนจึงจำเป็นและต้องเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันนี้ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันภาคเหนือ รวมถึงจังหวัดเชียงใหม่ ยังไม่สามารถมองเห็นภาพเศรษฐกิจแห่งอนาคตภายใต้แนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนได้อย่างชัดเจนนัก ประเด็นปัญหาที่เราพบในการประชุมครั้งนี้จึงเป็นสิ่งที่สามารถนำไปคิดต่อยอดและปิดช่องว่างได้ในอนาคต

ทั้งนี้ ยังมีประเด็นเร่งด่วนอีกหลายด้านที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข โดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้มีบทบาทสำคัญในการมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาสิทธิในที่ดินทำกินของชาวบ้านในหลายพื้นที่ เช่น อำเภอแม่อาย และอำเภอกัลยาณิวัฒนา ซึ่งเดิมเป็นส่วนหนึ่งของอำเภอแม่แจ่ม โดยพื้นที่เหล่านี้อยู่ห่างไกลจากการเข้าถึงของรัฐ และมีกลุ่มประชากรเปราะบางจำนวนมากที่เสี่ยงต่อการถูกกลุ่มทุนเข้าครอบครองพื้นที่เพื่อการปลูกพืชเชิงเดี่ยวมหาวิทยาลัยจึงได้นำองค์ความรู้จากงานวิจัยไปถ่ายทอดและประยุกต์ใช้ร่วมกับชุมชนในพื้นที่ เพื่อส่งเสริมการมีสิทธิและอำนาจในการจัดการทรัพยากรของตนเอง ซึ่งการแก้ไขปัญหาในลักษณะนี้ ถือเป็นการดำเนินงานที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยพิจารณาจากความต้องการของชุมชนเป็นสำคัญ

นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมประชุม ยังได้ร่วมกันเสนอทิศทางเชิงยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาและเเก้ไขปัญหาในพื้นที่ โดยมุ่งเน้นไปที่การใช้วิจัย วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม เช่น งานวิจัยระบบการเข้าถึงบริการพื้นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อออกแบบนโยบายเฉพาะ ส่งเสริมการดูแลผู้สูงอายุแบบ Home visit โดย อสม./Caregiver หรือสร้าง “ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะผู้สูงอายุ” ประจำชุมชน บูรณาการฐานข้อมูลคนจน (TPMAP) กับการวางแผนช่วยเหลือเชิงพื้นที่ วางแผนการจัดการพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมอย่างบูรณาการ (flood zoning) สนับสนุนแนวคิดเมืองสีเขียว (Green City) ทั้งในระดับเทศบาล/อบต. และออกมาตรการควบคุมโรงงานและพื้นที่เสี่ยงอย่างเข้มข้น


04 – ปัจจัยความสำเร็จในการประชุมรับฟังความคิดเห็น

เมื่อถามถึงมุมมองต่อความสำเร็จของเวทีการประชุมเชิงปฏิบัติการ ผศ. ดร.ไพรัช กล่าวว่าการจัดเวทีครั้งนี้ประสบความสำเร็จหรือไม่นั้นย่อมขึ้นอยู่กับเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งการประชุมครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะคณะทำงานระดับภาคได้เริ่มกำหนดบทบาทและหน้าที่ของตนเองในฐานะเจ้าภาพในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับจังหวัดหรือภูมิภาคทำให้การทำงานเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม อย่างไรก็ดี หากจะวัดความสำเร็จของเวทีการประชุมเชิงปฏิบัติการว่าสำเร็จหรือไม่นั้น อีกปัจจัยสำคัญคือ “เสียง” ของผู้เข้าร่วมที่ได้รับในครั้งนี้ได้สร้างผลกระทบไปสุดทางตามที่โครงการตั้งเป้าหมายไว้หรือไม่ ทั้งในมิติด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ความสำเร็จก็คือการที่เราสามารถส่งเสียงจากภูมิภาคไปถึงส่วนกลางได้ไม่มากก็น้อย

นอกจากนี้ ปัจจัยความสำเร็จหลักอีกประการคือคณะทำงาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั้นมีความพร้อมทั้งด้านทรัพยากรในการขับเคลื่อนพัฒนาพื้นที่ ทั้งในด้านบุคลากร ความเชื่อมโยงกับท้องถิ่นและความคล่องตัวในการดำเนินงานโดยมหาวิยาลัยมีจุดแข็งในด้าน ความเชื่อถือและความสัมพันธ์กับชุมชนท้องถิ่น โดยประชาชนในเชียงใหม่มีความใกล้ชิดกับมหาวิทยาลัย ทั้งผ่านความสัมพันธ์ในครอบครัว เช่น ญาติพี่น้องที่เคยเรียนหรือทำงานไปจนถึงความผูกพันกับสถานที่ ทำให้ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปรียบเสมือน “สมาชิกของครอบครัวจังหวัดเชียงใหม่” ที่สามารถเป็นตัวกลางในการประสานงานระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ได้อย่างดี ในสายตาของคนนอกพื้นที่ มหาวิทยาลัยอาจถูกมองในหลายมิติแต่สิ่งที่สำคัญคือความไว้วางใจจากชุมชนซึ่งเกิดจากประสบการณ์การทำงานร่วมกัน

ผศ. ดร.ไพรัช กล่าวต่อว่าโครงการ Area Need เป็นโครงการที่ดีมาก จึงอยากให้หน่วยงานหรือกลไก  ที่เกี่ยวข้องร่วมกันขับเคลื่อนในระยะยาว เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นที่ดีอย่างยิ่งหากสามารถวางโครงสร้างและแผนการทำงานร่วมกันได้อย่างเป็นระบบ ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในฐานะกลไกระดับพื้นที่ในภาควิชาการ พร้อมที่จะเดินหน้าต่อไป และสามารถเป็นแรงสนับสนุนสำคัญให้ในการระดมทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมมือกันขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับจังหวัดและภูมิภาค พร้อมจะทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม


05 – ม.เชียงใหม่ กับบทบาทขับเคลื่อน SDGs และหนุนเสริมระบบ ววน.

ผศ. ดร.ไพรัช กล่าวว่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ถือเป็นมหาวิทยาลัยระดับภูมิภาคที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ซึ่งมีแนวทางหลักในการดำเนินงาน 2 ด้าน ได้แก่ การสร้างองค์ความรู้ และการนำองค์ความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยมหาวิทยาลัยได้กำหนดแผนปฏิบัติการหลักไว้ 5 เรื่องใหญ่ ได้แก่

1) การวิจัย (Research) เป็นการสนับสนุนงานวิจัยที่สอดคล้องกับ SDGs ทุกเป้าหมาย โดยการใช้เครื่องมือ SDG Impact ตั้งแต่ขั้นคิดหัวข้อ มีการพัฒนากลุ่มวิจัย ศูนย์วิจัย ศูนย์ความเป็นเลิศ สนับสนุนทุนวิจัยนักวิจัยเชิงรุกในระดับปริญญาโท–เอก เพื่อผลักดันให้วิจัยสร้างผลลัพธ์จริงทั้งเศรษฐกิจและสังคม โดยในมิติด้านเศรษฐกิจเราให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการสร้างธุรกิจเริ่มต้น (Startups) และผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (Entrepreneurs) ซึ่งก่อนจะไปถึงจุดนั้นจำเป็นต้องมีการพัฒนาองค์ความรู้และยกระดับให้กลายเป็นต้นแบบหรือแบบจำลอง ซึ่งเรียกว่า “Stewardship” หรือการสร้าง “Prototype”

2) การเป็นต้นแบบ การนำโมเดลหรือความสำเร็จภายใน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ไปขยายผลสู่ภายนอก ซึ่งมีหลายวิธีจากการวิเคราะห์พื้นที่โดยรอบก็จะมีกลุ่มตำบลต่าง ๆ หรือพื้นที่ห่างไกล เช่น มีโปรแกรม Matching ที่ช่วยเชื่อมโยงนักศึกษากับความต้องการของชุมชนหรือพื้นที่ที่มีศักยภาพ เพื่อสร้าง “ต้นแบบธุรกิจ” ที่ตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืน ที่ดำเนินการภายใต้ชื่อโครงการว่า “CMU Social Lab” ซึ่งเป็นพื้นที่ทดลองการทำงานจริงร่วมกับชุมชน โดยบูรณาการองค์ความรู้จากหลายคณะ เช่น ในอำเภอกัลยาณิวัฒนา ซึ่งแม้จะเป็นพื้นที่เปราะบาง แต่มีศักยภาพด้านเกษตรอินทรีย์และการปลูกพืชยั่งยืนทดแทนพืชเชิงเดี่ยว คณะเกษตรจึงเข้าไปส่งเสริมการปลูกกาแฟพันธุ์ดี ขณะที่คณะเศรษฐศาสตร์ร่วมคำนวณรายได้ และประสานความร่วมมือกับผู้ประกอบการในพื้นที่ที่ประสบความสำเร็จ เพื่อสร้างโมเดลต้นแบบที่สามารถขยายผลได้ต่อไป

3) SDG Academy ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่กำลังยกระดับการดำเนินงานด้านเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ผ่านการจัดตั้ง “SDG Academy” และพัฒนาเป็น “CMU SDG ATLAS” ซึ่งเปรียบเสมือนแผนที่รวมองค์ความรู้และการขับเคลื่อน SDGs ทั้งในเชิงวิชาการและการปฏิบัติจริง นอกจากนี้ ยังมี CMU SDG Team เป็นทีมที่ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่สนับสนุนและบุคลากรที่มีความตั้งใจในการปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับ SDGs พร้อมทั้งมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันจากหลายฝ่าย รวมถึงการมี Chang Agent หรือผู้ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงและออกไปทำงานร่วมกับชุมชน เพื่อให้แน่ใจว่าปัญหาหรือความต้องการจะได้รับการแก้ไขจากการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย

4) การพัฒนาหลักสูตรที่ตลาดต้องการและยั่งยืน เน้นการพัฒนาหลักสูตรที่ตอบสนองความต้องการของตลาดในประเด็นที่สำคัญและยั่งยืน โดยอยู่ภายใต้ธีม ‘FAST’ ซึ่งมี 4 ด้านหลัก คือ F (Food) – นำความโดดเด่นในด้านอาหาร ซึ่งรวมการทำงานร่วมกันระหว่างคณะเกษตร อุตสาหกรรมการเกษตร มนุษยศาสตร์ และสาธารณสุข เพื่อสร้างหลักสูตรที่เน้นด้านอาหารที่มีทั้งศาสตร์และศิลป์ A (AI) – นำเครื่องมือใช้ในการวิเคราะห์และเสริมทักษะให้กับนักศึกษา S (Sustainability) – มีหลักสูตร Bachelor of Science in Sustainability ที่ร่วมกันจาก 9 คณะ โดยคณะรัฐศาสตร์เป็นหลักในการสอนเรื่อง SDGs เป็นพื้นฐาน และ T (Tech & Tourism) – มีหลักสูตรในด้านเทคโนโลยีและการท่องเที่ยวที่สามารถปรับให้เหมาะสมกับบริบทและความต้องการในตลาด

สุดท้ายในแผนที่ 5) การศึกษาทุกช่วงวัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มี CMU School of Lifelong Education ที่เปิดให้ประชาชนทุกช่วงวัยเข้ามาทดลองเรียนได้ ก่อนเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย โดยเปิดหลักสูตรฟรีมากมายและสามารถสะสมหน่วยกิตเพื่อนำไปศึกษษต่อในระดับปริญญาตรีและบัณฑิตศึกษา นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรสำหรับผู้สูงอายุที่ได้รับงบประมาณจาก วช. และร่วมมือกับเครือข่ายโรงเรียนผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย ส่งเสริมความรู้เรื่อง Financial Literacy เป็นอีกด้านสำคัญในแผนนี้ ที่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทำงานร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย และ ธนาคารออมสิน เพื่อเสริมสร้างความรู้ทางการเงินให้กับทุกกลุ่มเป้าหมาย เช่น ครู นักเรียน และประชาชนในชุมชน 

ผศ. ดร.ไพรัช กล่าวปิดท้ายว่าในการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน  มหาวิทยาลัยมุ่งเน้น SDG 3 (สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี), SDG 4 (การศึกษาที่มีคุณภาพ), SDG 9 (อุตสาหกรรม นวัตกรรม โครงสร้างพื้นฐาน), SDG 13 (การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) และ SDG 17 (ความร่วมมือเพื่อการพัฒนา) โดยมี SDG 1 (ยุติความยากจน) และ SDG 5 (ความเท่าเทียมทางเพศ) เป็นพื้นที่ศักยภาพที่พร้อมต่อยอด ทั้งหมดนี้ดำเนินการตั้งแต่ระดับวิสัยทัศน์จนถึงระดับปฏิบัติจริง โดยมีการประเมิน “ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง” (impact) จากงานวิจัยเชิงต้นแบบ การขยายผลสู่ชุมชน และการออกแบบการเรียนรู้ทั้งในระบบมหาวิทยาลัยและการศึกษาตลอดชีวิต เพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ที่ยั่งยืนและเปลี่ยนแปลงได้จริง

ซีรีส์ Area Need จะสรุปข้อค้นพบสำคัญของโครงการปีที่ 1 - 2 และอัปเดตสิ่งที่เรากำลังทำต่อในปีที่ 3 ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป


แพรวพรรณ ศิริเลิศ – เรียบเรียง
อติรุจ ดือเระ – พิสูจน์อักษร
วิจย์ณี เสนเเดง – ภาพประกอบ

Author

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็นและรายละเอียดของท่านจะถูกเก็บเป็นความลับและใช้เพื่อการพัฒนาการสื่อสารองค์ความรู้ของ SDG Move เท่านั้น
* หมายถึง ข้อมูลที่จำเป็น