Circle Economy ร่วมกับ Deloitte จัดทำรายงาน “Circularity Gap Report ปี 2568 ” เผยอัตราเศรษฐกิจหมุนเวียนของโลกยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยลดจาก 7.2% เหลือ 6.9% สะท้อนให้เห็นว่าการใช้ทรัพยากรโลกยังไม่ถูกนำกลับมารีไซเคิลเท่าที่ควร ซึ่งเศรษฐกิจควรมุ่งเน้นการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีสูงสุดแก่ประชาชน โดยไม่ละเลยต่อขีดจำกัดของระบบนิเวศโลก (planetary boundaries) จึงเน้นย้ำว่ารัฐบาลและภาคธุรกิจควรมีบทบาทมากขึ้นในการผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนให้มากขึ้น
การรายงานแนวทางการลดช่องว่างของเศรษฐกิจหมุนเวียน ได้ระบุแนวทางการปรับเปลี่ยนระบบธุรกิจใหญ่ 4 ภาคส่วน ได้แก่ ภาคอาหาร อุตสาหกรรม การขนส่ง และสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างขึ้น (built environment) อย่าง โครงสร้างพื้นฐานและอาคารต่าง ๆ ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนคือการออกแบบตั้งแต่ต้นทางให้รองรับการใช้วัสดุหมุนเวียน การยืดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ และการลดของเสียในทุกขั้นตอน นอกจากนี้ รายงานได้ระบุว่าวัสดุใหม่ (virgin materials) ยังคงเป็นสัดส่วนหลักของทรัพยากรที่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และหากโลกยังขาดเป้าหมายระดับโลกที่ชัดเจนและจริงจัง แนวโน้มการใช้วัสดุทั่วโลกจะยังคงดำเนินไปในทิศทางที่ไม่ยั่งยืน
ข้อค้นพบสำคัญจากรายงาน ได้แก่
- เศรษฐกิจชีวภาพที่ยั่งยืน (sustainable bioeconomy) หรือการเปลี่ยนจากเศรษฐกิจฐานเกษตรกรรม มาสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม ซึ่งมีศักยภาพที่สามารถสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนในระดับโลกได้ แต่ขณะเดียวกันผลกระทบของเศรษฐกิจชีวภาพต่อระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนยังคงประเมินได้ยาก และต้องการการศึกษาเพิ่มเติมอย่างรอบด้าน
- การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่แรงจูงใจในการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานทางเลือกยังมีอยู่อย่างจำกัดและขาดความเข้มแข็ง ทำให้การปรับเปลี่ยนทิศทางยังเกิดขึ้นอย่างเชื่องช้า
- การใช้ทรัพยากรและวัสดุในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น อาคาร ถนน และเครื่องจักร เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการขุดใช้ทรัพยากรเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะแร่ธาตุที่ไม่ใช่โลหะ (non-metallic minerals) ซึ่งวัสดุกลุ่มนี้คิดเป็นสัดส่วนมากถึงครึ่งหนึ่งของการสกัดทรัพยากรทั้งหมด
นอกจากนี้ รายงานได้แนะนำว่ารัฐบาลควรเป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน ผ่านการใช้นโยบายที่ชาญฉลาดและส่งเสริมความร่วมมือของพหุภาคีที่มีความโปร่งใส่ โดยช่องว่างด้านกลไกการกำกับดูแลระดับโลก ที่ยังขาดกรอบเป้าหมายชัดเจนในการติดตามความก้าวหน้าในการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน พร้อมเสนอให้มีองค์กรระหว่างประเทศด้านการจัดการทรัพยากร ซึ่งจะมีบทบาทในการให้ข้อมูลประเมินสถานการณ์ตามหลักวิทยาศาสตร์ เสนอแนวทางเชิงนโยบาย และกำหนดตัวชี้วัดเพื่อใช้ติดตามการใช้วัสดุและทรัพยากร ซึ่งได้มีการสะท้อนแนวทางนี้ผ่าน ร่างข้อตกลงว่าด้วยขยะพลาสติก (plastic treaty) ที่อยู่ระหว่างการเจรจาในระดับนานาชาติ
ท้ายที่สุดนี้รัฐบาลควรดำเนินการเลือกใช้และติดตามตัวชี้วัดที่เชื่อถือในระดับประเทศ เพื่อประเมินความก้าวหน้าในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน ขณะเดียวกันภาคธุรกิจก็ควรมีการให้ความสำคัญกับการวัดและติดตามระดับความเป็นวงจรทั้งในกระบวนการดำเนินงานของตนเองและตลอดห่วงโซ่มูลค่า (value chain) ซึ่งธุรกิจที่เริ่มนำแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ในปัจจุบันจะได้เปรียบเชิงการแข่งขันสามารถสร้างรายได้ใหม่ ๆ และเตรียมความพร้อมรับมือกับปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรและความผันผวนของตลาดในอนาคตได้
● อ่านข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง
– World Bank เผยปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจไทย ยังน่าห่วงเผชิญภาวะหยุดชะงัก – พร้อมชี้เศรษฐกิจหมุนเวียนคือหนึ่งในทางออก
– เวียดนามชูยุทธศาสตร์ชาติ Decision 450 หวังปกป้องสิ่งแวดล้อม-สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน ภายในปี 2573
– เลขาธิการบริหาร UNECE เสนอว่า เศรษฐกิจหมุนเวียน ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อโลก
– หลายแบรนด์ดังสนับสนุน ‘The Jeans Redesign’ แนวปฏิบัติสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนในการผลิตยีนส์
– SDG Updates | เมื่อโลกต้องการโมเดลเศรษฐกิจใหม่ ไทยจึงมี ‘BCG’ (Bio-Circular-Green Economy) เป็นวาระแห่งชาติปี 2564
ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ
#SDG7 พลังงานสะอาดที่เข้าถึงได้
– (7.2) เพิ่มสัดส่วนของพลังงานทดแทนในการผสมผสานการใช้พลังงานของโลก ภายในปี 2573
#SDG8 งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
– (8.4) ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรของโลกในการบริโภคและการผลิตอย่างต่อเนื่อง และพยายามที่จะไม่เชื่อมโยงระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นไปตามกรอบการดำเนินงานระยะ 10 ปี ว่าด้วยการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนโดยมีประเทศที่พัฒนาแล้วเป็นผู้นำในการดำเนินการไปจนถึงปี 2573
#SDG9 โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม และอุตสาหกรรม
– (9.4) ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและปรับปรุงอุตสาหกรรมเพื่อให้เกิดความยั่งยืน โดยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรและการใช้เทคโนโลยีและกระบวนการทางอุตสาหกรรมที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยทุกประเทศดำเนินการตามขีดความสามารถของแต่ละประเทศ ภายในปี 2573
– (9.b) สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี การวิจัย และนวัตกรรมภายในประเทศในประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงการทำให้เกิดความมั่นใจว่ามีนโยบายสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการนำไปสู่ความหลากหลายของอุตสาหกรรมและการเพิ่มมูลค่าของสินค้า
#SDG12 การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน
– (12.2) บรรลุการจัดการที่ยั่งยืนและการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ภายในปี 2573
– (12.4) บรรลุการจัดการสารเคมีและของเสียทุกชนิดตลอดวงจรชีวิตของสิ่งเหล่านั้นด้วยวิธีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศที่ตกลงกันแล้ว และลดการปลดปล่อยสิ่งเหล่านั้นออกสู่อากาศ น้ำ และดินอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อจะลดผลกระทบทางลบต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุดภายในปี 2563
– (12.5) ภายในปี 2573 จะต้องลดการเกิดของเสียโดยให้มีการป้องกัน การลดการแปรรูป เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ และการนำกลับมาใช้ซ้ำ
– (12.6) สนับสนุนให้บริษัท โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติและบริษัทขนาดใหญ่ รับแนวปฏิบัติที่ยั่งยืนไปใช้ และผนวกข้อมูลด้านความยั่งยืนลงวงจรการรายงานของบริษัทเหล่านั้น
แหล่งที่มา:
– Circle Economy Report Assesses Global State of Circularity to Drive Policy (IISD)
– The Circularity Gap Report 2025 (Global Compact TH)