17 ตุลาคม 2568 – ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) และคณะทำงานระดับภาคทั้ง 6 ภาค ได้แก่ เหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ กลาง ตะวันออก ใต้ และใต้ชายแดน ภายใต้โครงการจัดทำแผนบูรณาการด้านวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน หรือ “Area Need” ได้จัดเวทีนำเสนอผลการจัดทำ SDG Index ระดับจังหวัด และการขับเคลื่อนด้านวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ณ ห้องไฮเดรนเยีย 1 ชั้น 6 อาคารแกรนด์ โรงแรม ทีเค. พาเลซ & คอนเวนชั่น
เวทีวิชาการครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ มหาวิทยาลัย ภาควิชาการ และองค์กรระหว่างประเทศ ได้ร่วมกันพิจารณาและระบุความต้องการระดับภาคด้าน ววน. ที่จะสนับสนุนการขับเคลื่อน SDGs ผ่านการใช้ข้อมูลเชิงปริมาณที่สอดคล้องกับตัวชี้วัด SDGs ประเมินความท้าทายในแต่ละภาค พร้อมกับกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักทุกภาคส่วน ซึ่งจะทำให้การระบุความต้องการ ววน. มีความครอบคลุมและสอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการต่อยอด ข้อเสนอด้านกลไกการขับเคลื่อน ววน. เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับพื้นที่ จากโครงการระยะก่อนหน้าไปทดลองปฏิบัติจริงในระดับภาค และร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการที่สามารถระบุต้นทุนและทรัพยากรที่ต้องใช้ได้อย่างชัดเจน สำหรับการขับเคลื่อนกลไกนี้ในระยะเวลา 1–3 ปี ให้เป็นรูปธรรม

คิดนอกกรอบและเชื่อมโยงวิธีการเพื่อเเก้ปัญหาท้องถิ่นให้ดีขึ้น
ศ. ดร.คมกฤต เล็กสกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวเปิดการประชุม โดยระบุว่าโครงการ Area Need เป็นโครงการพิเศษ หรือ ORG ที่ สกสว. จะนำไปต่อยอดใช้ประโยชน์ในลักษณะการขับเคลื่อนต่อ โดยเฉพาะการใช้เป็นฐานข้อมูลหนุนเสริมสำหรับแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
นอกจากนี้ ศ. ดร.คมกฤต ยังเน้นย้ำว่าการเเก้ปัญหาระดับท้องที่ต้องคิดนอกกรอบเเละเชื่อมโยงมิติต่าง ๆ เข้ากันเพราะหลายปัญหาซับซ้อน ต้องอาศัยความรู้หรือวิธีการที่หลากหลาย

ผศ.ชล บุนนาค นำเสนอผลการวิจัยโครงการ Area Need ปีที่ 3 โดยระบุข้อค้นพบเกี่ยวกับภาพรวม SDG Index ของประเทศที่สำคัญ เช่น
- ภาพรวมการบรรลุ SDGs ระดับประเทศของไทย จากการคำนวณพบว่าประเทศไทยมีคะแนน SDG Index เฉลี่ยที่ 54.34 คะแนน โดยแต่ละจังหวัดมีคะแนนอยู่ในช่วง 62.38 และ 32.74 คะแนน โดยจังหวัดขอนแก่น เป็นจังหวัดที่มีคะแนนสูงที่สุด มีค่าเท่ากับ 62.38 คะแนน ในขณะที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดที่มีคะแนนต่ำที่สุด มีค่าเท่ากับ 32.74 คะแนน
- เมื่อพิจารณารายมิติทั้ง 5Ps ตามที่องค์การสหประชาชาติแบ่งเป้าหมาย 17 ข้อ ออกเป็น 5 กลุ่ม พบว่า ในมิติ Planet (มิติด้านสิ่งแวดล้อม) เป็นมิติที่มีคะแนนสูงที่สุด โดยมีคะแนนเท่ากับ 66.58 คะแนน รองลงมาคือ มิติ Peace (มิติด้านสันติภาพและสถาบัน) มีคะแนนเท่ากับ 66.24 คะแนน มิติ Prosperity (มิติด้านเศรษฐกิจ) มีคะแนนเท่ากับ 51.6 คะแนน มิติ People (มิติด้านสังคม) มีคะแนนเท่ากับ 48.21 คะแนน และ มิติ Partnership (มิติด้านหุ้นส่วนการพัฒนา) เป็นมิติที่มีคะแนนต่ำที่สุด โดยมีคะแนน 34.42 คะแนน
- ข้อมูลเชิงปริมาณจาก SDG Index ช่วยให้เห็นการกระจายตัวของปัญหา (scale)
- ประเด็นที่พื้นที่กังวลในหลายพื้นที่มีความเเตกต่างกับ SDG Index อยู่บ้าง หลายประเด็นเป็นสถานการณ์ที่ไม่ถูกสะท้อนเข้าไปในตัวชี้วัดของภาครัฐ
ถัดจากนั้น ผศ.ชล ได้มีการวิเคราะห์ knowledge stock และ knowledge gap ด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ดังนี้
- การสำรวจภาพรวมข้อมูลงานวิจัยเกี่ยวกับ SDGs ในฐานข้อมูล NRIIS พบว่างานวิจัยมากกว่า 60% เชื่อมโยงกับ SDGs มากกว่า 1 ข้อ ซึ่งเป้าหมายทั้ง 17 เป้าหมายมีความเชื่อม โยงกัน งานที่สนับสนุนเป้าหมายหนึ่งอาจมีผลโดยตรงหรือโดยอ้อมต่อเป้าหมายอื่นได้
- ข้อสังเกตจากการวิเคราะห์ฐานข้อมูล NRIIS พบว่างานวิจัยส่วนใหญ่เน้นไปที่การพัฒนาเครื่องมือและนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสุขภาพ หรือการพัฒนาแนวปฏิบัติและเทคโนโลยีทางการเกษตร การพัฒนาวิสาหกิจชุมชน และสินค้าเกษตรที่ เกี่ยวข้อง
- งานวิจัยแต่ละงานมีกรอบแนวคิด (conceptual framework) เฉพาะประเด็น แต่ในภาพใหญ่ของแต่ละประเด็นในระบบวิจัยยังไม่ปรากฏกรอบแนวคิดเพื่อใช้ในการติดตามตรวจสอบว่างานวิจัยในประเด็นนั้น ๆ เพียงพอหรือครบองค์ประกอบหรือไม่ ต่อการนำประเด็นเหล่านั้นมาผลักดันการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
กลไกการขับเคลื่อนระดับจังหวัดเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับพื้นที่
- ความท้าทายของประเทศไทย เผชิญปัญหาซับซ้อนและเชื่อมโยงกันในหลายมิติ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการทำงานของภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่ง ดังนั้น การพัฒนากลไก ววน. ระดับพื้นที่ เป็นแนวทางสำคัญในการเชื่อมโยงองค์ความรู้เข้ากับบริบทของชุมชนเพื่อนําไปสู่การพัฒนาในระดับท้องถิ่นอย่างแท้จริง
- ช่องว่างการพัฒนากลไก ววน. พบว่ายังคงเกิดการทำงานที่แยกส่วน (fragmentation) ระหว่างกลไกกลางที่เชื่อมโยงโจทย์พื้นที่กับ ววน. โดยบางโครงการยังถูกออกแบบมาแบบ Top-down ไม่ตอบโจทย์ต่อชุมชน ส่วนด้านการต่อยอดนวัตกรรม ยังขาดกระบวนการ matching นักวิจัยกับภาคปฏิบัติ ขณะที่ด้านทรัพยากรยังคงมีจํากัดและขาดการจัดการอย่างเป็นระบบเพื่อสนับสนุนการทำงานร่วมกัน
- โอกาสและศักยภาพที่มีอยู่ มหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษา เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงภาคส่วนต่าง ๆ โอกาสและศักยภาพที่มีอยู่ ทั้งนี้ภาครัฐท้องถิ่นและส่วนกลาง มีโครงสร้างและงบประมาณสนับสนุนหากเชื่อมกับกลไก ววน. ได้อย่างสะสม ขณะที่ภาคเอกชนและมูลนิธิ มีส่วนในการลงทุนด้าน CSR/ESG และสนับสนุนทรัพยากร ส่วนสำคัญภาคประชาสังคมและชุมชน เป็นกลุ่มที่มีความรู้และประสบการณ์ในพื้นที่เป็นฐานสำหรับการกำหนดโจทย์และทดสอบต้นแบบ และในบริบทสากล SDGs เอื้อต่อการขับเคลื่อนเชื่อมโยงระดับพื้นที่กับนโยบายชาติและความเคลื่อนไหวระหว่างประเทศ
- ข้อเสนอกลไก ววน. เสนอแบ่งโครงสร้างกลไกหลักเป็น 3 ส่วน คือ มหาวิทยาลัย (KNOWLEDGE HUB) ทำหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” ประสานระหว่างชุมชน ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ทั้งนี้ให้คณะทำงานร่วมหลายภาคส่วน (MULTI-STAKEHOLDER WORKING GROUP) ตั้งคณะทำงานประจําจังหวัด โดยให้มีผู้แทนจากหน่วยงานรัฐ ภาคประชาสังคม และผู้นําชุมชน เพื่อกำหนดทิศทางและตัดสินใจร่วมกัน ส่วน หน่วยสนับสนุน (SUPPORT UNIT) เช่น มูลนิธิ องค์กรไม่แสวงหาผลกําไร องค์กรระหว่างประเทศ และอาสาสมัคร มีบทบาทในการระดมทุนและทรัพยากร
SDG Index ระดับจังหวัดกับช่องว่างเชิงนโยบาย
- โดยเฉลี่ย 55.56% ของประเด็นท้าทายด้าน SDGs ของจังหวัด ไม่พบในเเผนพัฒนาจังหวัด ระยะ 5 ปี เนื่องจาก อาจอยู่นอกเหนือการดูเเลของจังหวัด บางประเด็นอาจเป็นประเด็๋นความท้าทายเดิมที่ย้อนกลับมารุนเเรง เเละบางประเด็นอาจไม่อยู่ในกรอบเชิงนโยบายของจังหวัด
- ประเด็นที่มักไม่ได้ถูกกล่าวถึงในเเผนพัฒนาจังหวัด (ประเด็นร่วมจากการวิเคราะห์ 77 จังหวัด) เช่น ประเด็นจำนวนโรงเเรมที่ได้รับมาตรฐาน Green Hotel ประเด็นอัตราการตายของทารกเเรกเกิดอายุน้อยกว่าหรือเท่ากับ 28 วัน เเละ ปริมาณการใช้ไฟฟ้าภาคครัวเรือนต่อประชากรเเสนคน
SDG Index เครื่องมือฉายภาพโจทย์พัฒนาพื้นที่สู่การหนุนนโยบายโดยประชาชนเพื่อประชาชน

การเสวนา หัวข้อ “การใช้ SDG Index เพื่อการวางแผน ววน. และการออกแบบงานวิจัยในพื้นที่” มีผู้ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยน 4 ท่าน ได้แก่
- รศ. ดร.นิรมล สุธรรมกิจ ผู้อำนวยการหน่วยภารกิจยุทธศาสตร์ ววน.การยกระดับสังคมและสิ่งแวดล้อม (สกสว.)
- รศ. ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม รองผู้อำนวยการ ฝ่ายแผนงานและยุทธศาสตร์องค์กร หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)
- ผศ. ดร.อัตชัย เอื้ออนันตสันต์ รองอธิการบดี วิทยาเขตปัตตานี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
- ผศ. ดร.วิจิตรา สุจริต อาจารย์สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
ดำเนินรายการ โดย คุณนันทินี มาลานนท์ รองผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move)
รศ. ดร.นิรมล กล่าวในมุมของหน่วยงานที่กำหนดทิศทางยุทธศาสตร์ ววน. ระดับประเทศ มองว่า SDG Index ระดับจังหวัด จะช่วยให้การวางแผนเชิงระบบมีความเฉพาะพื้นที่มากขึ้นได้ ดังนี้
- “SDG Index ระดับจังหวัด” จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การวางแผนเชิงระบบของประเทศมีความเฉพาะพื้นที่และตรงจุดมากยิ่งขึ้น เพราะทำให้เห็นภาพรวมของการพัฒนาในแต่ละมิติผ่านข้อมูลและตัวชี้วัดที่สะท้อนศักยภาพและความท้าทายในพื้นที่อย่างแท้จริง
- การวิจัยและนวัตกรรมไม่สามารถขับเคลื่อนได้เพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน สกสว. จึงให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรและงบประมาณที่มีอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาประเทศในทิศทางที่ตอบโจทย์พื้นที่อย่างแท้จริง โดยเริ่มจาก “การมองหาตัวชี้วัด” ที่ช่วยทำความเข้าใจปัญหาและช่องว่างการพัฒนาในแต่ละจังหวัด
- ‘นวัตกรรม’อาจไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปของงานวิจัยใหม่ ๆ เสมอไป หากแต่เป็น เพราะบางกรณี “การเปลี่ยนมุมมองหรือวิธีคิด” ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ก็สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น งานวิจัยและนวัตกรรมจึงไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย แต่เป็น “เครื่องมือ” ที่ช่วยให้สามารถพัฒนาพื้นที่และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยได้อย่างยั่งยืน
รศ.ดร. ปุ่น เผยถึงประโยชน์เเละผลกระทบต่อพื้นที่ท้องถิ่นว่า SDG Index ทำให้โจทย์ของเรื่องเล่าขยับไปข้างหน้า โดยก่อนหน้านี้เราทราบกันอยู่เเล้วว่าพื้นที่ต้องการเรื่องเล่าที่ทรงพลังเเละสอดคล้องกับประเด็นโลกในการฉายส่องเเละนำเสนอพื้นที่ตัวเอง ซึ่งเรื่องที่ทรงพลังเเละจำเป็นเรื่องหนึ่งคือ ‘การพัฒนาที่ยั่งยืน’ ความสำเร็จของโครงการ Area Need มาเติมเต็มตรงนี้ เนื่องจากวันนี้ทำให้มีตัวชี้วัดที่สามารถเล่าให้ชาวบ้านฟังว่าถ้าพื้นที่จะเจริญขึ้นนั้นมีมิติไหนบ้างที่ต้องเร่งรัดให้ความสำคัญ นอกจากนี้ตัวชี้วัดยังช่วยให้สามารถเปรียบเทียบระหว่างพ้นที่ตนกับพื้นที่อื่น ๆ ได้ว่าเหลื่อมหรือล้ำกันอยู่อย่างไร สิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การเล่าเรื่องบนหลักฐานเเละข้อมูลความรู้ ช่วยให้เกิดการสนทนาเเละตั้งคำถามต่อเนื่อง เเละสุดท้ายคือการหนุนเสริมให้เกิดนโยบายที่มาจากประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน
ผศ.ดร.อัตชัย เผยว่าในบริบทของมหาวิทยาลัย SDG Index เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เข้าใจโจทย์การพัฒนาในพื้นที่ได้อย่างเป็นระบบ และกำหนดทิศทางการวิจัยให้ตอบโจทย์จริงของแต่ละจังหวัด นักวิจัยจึงมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงประเด็นในพื้นที่กับเวทีโลก ถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อพัฒนาอย่างยั่งยืน เช่น กรณีการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคใต้
พร้อมกันนี้ SDG Index ยังเป็น “ภาษากลางของข้อมูล” ที่เชื่อมโยงระดับพื้นที่กับระดับสากล ช่วยให้ข้อมูลท้องถิ่นถูกสื่อสารและนำไปใช้ต่อยอดเชิงนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนให้มหาวิทยาลัยทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการขับเคลื่อน ววน. เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
กระบวนการเหล่านี้ไม่เพียงช่วยยืนยันว่าวิถีที่มหาวิทยาลัยกำลังดำเนินอยู่มีทิศทางที่ถูกต้องและมีฐานข้อมูลรองรับเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่การแลกเปลี่ยน พูดคุย และพัฒนาข้อเสนอนโยบายที่สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ได้จริง
ผศ.ดร.วิจิตรา กล่าวในมุมของนักวิชาการซึ่งเป็นโซ่ข้อกลางการต่อยอดข้อค้นพบจากงานวิจัยไปสู่การปฏิบัติในพื้นที่ โดยระบุว่าการใช้ข้อค้นพบจาก SDG Index ระดับจังหวัดเป็นตัวตั้งต้น ช่วยให้เห็นปัญหาในพื้นที่ชัดขึ้นเพราะมีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลที่หลากหลายเเละน่าเชื่อถือ ซึ่งสามารถต่อยอดไปสู่การสื่อสารที่มุ่งเน้นความเข้าใจของคนในพื้นที่ผ่านการย่อยประเด็นเเละภาษาที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงประเด็นย่อยเข้ากับพื้นที่นั้นมีส่วนช่วยอย่างมากในการชี้เป้าภาคีเเละกลุ่มเป้าหมายผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้ถูกกลุ่มเเละตรงประเด็นความต้องการจริง ๆ
‘เสริมกลไก-สร้างพื้นที่เรียนรู้-ขับเน้นบทบาทมหาวิทยาลัย-ทำงานกับพื้นที่ให้เป็น’
สี่โจทย์หลักต่อยอด SDG Index สู่การพัฒนาที่เชื่อมท้องถิ่นกับโลก
รศ. ดร.นิรมล มองว่ากลไกการขับเคลื่อนของหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.) จำเป็นต้อง “ต่อยอด” จากสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างระดับพื้นที่ ระดับชาติ และระดับโลกได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้
- ต้องเสริมกลไกในเชิงยุทธศาสตร์ โดย สกสว. ควรพิจารณาเชื่อมโยง “กลไกของ ววน.” เข้ากับแผนกลยุทธ์องค์กร สกสว. พ.ศ. 2566 – 2570 และกรอบเป้าหมาย SDGs ซึ่งเปรียบเสมือน “สารตั้งต้น” ของการวางทิศทางเชิงกลยุทธ์ โดยในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา มี 9 องค์กรที่ร่วมกันขับเคลื่อนประเด็นสำคัญ เช่น การขจัดความยากจน เมืองยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการจัดการภัยพิบัติ ซึ่งกลไกเหล่านี้ควรถูกยกระดับให้มีความเชื่อมโยงและต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น
- การดำเนินงานควรสอดคล้องกับพันธกิจของแต่ละสถาบัน โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยในภูมิภาค ซึ่งสามารถพัฒนา “ศูนย์วิจัยและพัฒนา” เพื่อรับผิดชอบประเด็นตามเป้าหมายการพัฒนา ทั้งนี้ สกสว. มีทุนสนับสนุนพื้นฐาน (Fundamental Fund) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเชิงประเด็นอยู่แล้ว แต่จำเป็นต้องเสริม “กลไกเชิงยุทธศาสตร์” ที่เน้นการ Research Utilization หรือการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์จริง เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งที่ผ่านมาการดำเนินการยังมีลักษณะกระจัดกระจาย
- SDG Index หรือ ดัชนีระดับจังหวัดที่จัดทำขึ้นในครั้งนี้ เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสะท้อนภาพรวม และจะถูกใช้เป็นแนวทางวางแผนในช่วงปี พ.ศ. 2571 – 2575 เพื่อระบุว่าประเทศไทยยังมีปัญหาใดบ้าง ทุนวิจัยควรถูกจัดสรรไปที่ใด และงานวิจัยในพื้นที่ควรมุ่งแก้ปัญหาใด โดยเฉพาะในประเด็นและพื้นที่ที่ได้คะแนนต่ำ เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถ “พูดภาษาเดียวกัน” ผ่านการมองประเด็นตัวชี้วัดร่วมกัน
- ดัชนีระดับจังหวัด ช่วยเปิดมุมมองใหม่ต่อ “ปัญหาที่ถูกละเลยมานาน” ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นของงานวิจัยที่ควรถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อสร้างแนวทางแก้ไขเชิงระบบ
นอกจากนี้ รศ. ดร.นิรมล ยังเสนอว่านอกจากกลไกของ PMU (Program Management Unit) หรือ ระบบบริหารและจัดการทุนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ ววน. เป็นกลไกสำคัญในการบริหารงบประมาณที่มีอยู่แล้ว ควรมีกลไกเสริมเพื่อ “ยกระดับงานวิจัยให้สำเร็จผล” โดยนำองค์ความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ในเชิงปฏิบัติและต่อยอดเป็นต้นแบบการพัฒนาสำหรับจังหวัดอื่น ๆ ต่อไป ทั้งนี้ จุดสำคัญไม่ใช่เพียงการเพิ่มปริมาณงานวิจัย แต่คือการทำให้ความรู้ถูกนำไปใช้ให้เกิดผลจริง และสร้างคุณค่ากับสังคมได้อย่างยั่งยืน
รศ. ดร. ปุ่น เน้นย้ำว่างานวิจัยที่จะรวมกันได้ต้องมีเรื่องเล่าที่ทรงพลัง เเละสิ่งที่จะตรึงพื้นที่ได้คือเป้าร่วม ซึ่งเป้าสำคัญประการหนึ่งคือการเปิดพื้นที่การเรียนรู้ เปิดพื้นที่เเละหนุนเสริมให้ท้องถิ่นดึงความรู้ของตัวเองออกมา เพราะเเต่ละที่มีองค์ความรู้หรือภูมิปัญญาที่เเตกต่างหลากหลายเเละลักษณะเฉพาะ ถ้าดึงออกมาใช้ได้ก็จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสร้างการเรียนรู้ ซึ่งการจะไปถึงจุดนี้ได้นักวิชาการหรือนักวิจัยต้องเชื่อมั่นในความรู้ของพื้นที่ก่อนเป็นสำคัญ เเล้วจึงจะนำไปสู่การตอบโจทย์ว่าพื้นที่มีทรัพยากรความรู้อะไร เมื่อได้คำตอบเเล้ว ก็ต้องขยายไปสู่การเป็น sandbox ที่จะช่วยพื้นที่นำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการลงมือทำได้จริง
ผศ. ดร.อัตชัย กล่าวถึงแนวทางในการสร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย หน่วยงานเชิงนโยบายระดับพื้นที่ และหน่วยงานให้ทุนวิจัย เพื่อให้มหาวิทยาลัยทำหน้าที่เป็น “ตัวกลางเชื่อมระบบ ววน. กับโจทย์ความท้าทายด้าน SDGs ในระดับพื้นที่” ว่ามหาวิทยาลัยเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน แม้จะมีบทบาทแตกต่าง แต่มีศักยภาพสำคัญในการนำองค์ความรู้ไปช่วยเชื่อมโยงแหล่งทุนและนโยบายเชิงพื้นที่ให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม โดยมหาวิทยาลัยสามารถทำหน้าที่เป็น “ตัวกลางเชิงกายภาพ” ที่เปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนได้มาพูดคุย แลกเปลี่ยน และร่วมกันหาทางออกของปัญหาในพื้นที่ ซึ่งการสร้างเวทีระดับจังหวัดไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องอาศัยสถาบันที่พื้นที่ไว้วางใจมาทำหน้าที่นี้
นอกจากนี้ ผศ. ดร.อัตชัย ยังเสริมว่าในอีกมิติหนึ่ง มหาวิทยาลัยยังเป็น “ตัวขับเคลื่อนเชิงความรู้” โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยภูมิภาคที่เข้าใจอัตลักษณ์และบริบทของพื้นที่ หน้าที่สำคัญคือการนำองค์ความรู้ที่มีอยู่ไปใช้ประโยชน์ได้จริงในระดับพื้นที่ ขณะเดียวกัน ระบบ ววน. ที่มีทิศทางชัดเจนมากขึ้นในปัจจุบัน ก็ช่วยให้เห็นว่าควรให้ความสำคัญกับประเด็นใดเป็นลำดับแรก เช่น กรณีจังหวัดปัตตานี ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมีบทบาทเข้มแข็งและเชื่อมโยงมหาวิทยาลัยให้เป็นแกนหลักในการพัฒนา
ผศ. ดร.วิจิตรา ถอดบทเรียนของการเป็นนักวิจัยในพื้นที่ว่าบทบาทขั้นเเรกต้องรู้จักย่อยความรู้ให้ง่าย เเละทำงานประสานกับภาคประชาสังคมในการสื่อสารหรือนำส่งความรู้สู่พื้นที่ เนื่องจากคนที่ทำงานภาคประชาสังคมส่วนใหญ่มักมีวิธีหรือกระบวนการที่สื่อสารกับท้องที่เข้าใจง่าย ถ้าได้มาช่วยส่วนนี้ก็ดีมาก บทบาทต่อมาคือการนำผลของงานวิจัยไปข(ย)ายต่อกับผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบาย เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด โดยเน้นการเชื่อมโยงให้คนกลุ่มนี้เห็นว่ามีองค์ความรู้อะไรในพื้นที่บ้างที่สามารถนำมาจัดการหรือใช้ให้เป็นประโยชน์เเก่การพัฒนาพื้นที่ ทั้งนี้ ก็มีโจทย์ท้าทายว่าบางครั้งเราอยากจับมือกับภาคส่วนนั้นภาคส่วนนี้เเต่เขาอาจเกิดความระเเวงใจหรือไม่ได้มั่นใจในสิ่งที่เรานำเสนอ เช่นนั้นสิ่งสำคัญคือต้องสร้างความไว้ใจหรือความเชื่อมั่นให้เขาด้วยให้รู้สึกว่าทำงานร่วมกันเเล้วทุกส่วนได้รับประโยชน์กันถ้วนหน้าไม่ใช่เราหรือองค์กรไหนจะรับประโยชน์เฉพาะ พร้อมกันนั้นก็ต้องปั้นต้นเเบบในเรื่องนั้น ๆ ในพื้นที่ให้ได้ เพราะถ้ามีตัวอย่างก็จะสร้างความน่าเชื่อถือเเละเห็นรูปธรรมของผลสำเร็จมากขึ้น คนอื่น ๆ ก็สามารถทำตามได้
“ความรู้ที่หลากหลายจะรวมอยู่ในระบบเดียว และ SDGs จะกินได้และกินง่าย”
ภาพหวังที่คนทำงานจริงอยากเห็นในอีก 3 ปีข้างหน้า
รศ. ดร.นิรมล กล่าวว่า สกสว. จำเป็นต้องมีกลไกในการรวบรวมและบูรณาการข้อมูลรวมถึงองค์ความรู้จากทุกภาคส่วนให้อยู่ในระบบเดียวกัน เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึง นำไปต่อยอด และประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสม โดยมีเป้าหมายให้ “วิทยาการและองค์ความรู้” กลายเป็นพื้นที่เปิดที่ประชาชนทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้อย่างแท้จริง
ในปัจจุบัน สกสว. กำลังวางรากฐานของแนวคิดนี้ผ่านการพัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลแบบเปิด หรือ Open Science for All ที่เน้นการเปิดเผยข้อมูลงานวิจัยให้เข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั่วไป นักวิจัย ผู้บริหาร หรือภาคเอกชนและนักลงทุน ทั้งยังให้ความสำคัญกับการสร้างปฏิสัมพันธ์กับภาคประชาสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การขับเคลื่อนองค์ความรู้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน
รศ. ดร.ปุ่น ชี้ว่าเป้าหมายที่อยากเห็นคือต้องทำให้ SDGs กินได้เเละกินง่าย ประชาชนเเละผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถเข้าใจเเละผลักไปสู่การวางกรอบงานต่าง ๆ โดยเฉพาะการทำให้รู้สึกว่าตัวชี้วัดต่าง ๆ เป็นเรื่องใกล้ตัวเเละจับต้องได้ ถึงตรงนี้จะช่วยใช้ประชาชนในพื้นที่สามารถสวมหมวกนักวิทยาศาสตร์นำเหตุผลเเละข้อมูลไปสำรวจเเละถกต่อเพื่อออกเเบบเเนวทางการพัฒนาของตัวเองได้
ขณะที่ ผศ. ดร.อัตชัย เสริมว่า “กลุ่มคนวิทยาศาสตร์ภาคพลเมือง” มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมฐานความรู้ เพราะ “ความรู้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดข้อมูล” พลังจากหน่วยเล็ก ๆ เหล่านี้จะเป็นแรงผลักดันให้เกิดระบบที่เชื่อมโยงระหว่างทุน ความรู้ และประชาชนเข้าด้วยกันอย่างเป็นวงจร เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนที่ต่อเนื่อง
สอดคล้องความหวังของ ผศ. ดร.วิจิตรา ที่ว่าถ้าอีกอย่างน้อย 3 ปีข้างหน้าอยากเห็นชาวบ้านตัดสินใจบนฐานข้อมูลที่งานวิจัยทำมา การพัฒนาในพื้นที่ก็น่าจะเป็นสังคมเเห่งการเเก้ไขบนฐานความรู้ นำไปสู่การพัฒนาเเผนจังหวัดหรือเเผนอำเภอเเละตอบโจทย์ความต้องการได้จริง
ติดต่อ
ธรรมพร สุขมี อีเมล thammaporn.s@sdgmove.com | ผู้ประสานงานโครงการจัดทำแผนบูรณาการด้านวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน หรือ “Area Need” เว็บไซต์: www.sdgmove.com
Last Updated on ตุลาคม 20, 2025