SDG Update | การปลูกข้าวเชื่อมโยงกับ Climate Change อย่างไร? ชวนหาคำตอบเเละสำรวจเเนวทางลดความเสี่ยง

ณัฏฐนันท์ ศรีธนาศักดิ์
#SDGMoveIntern2025

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันอาชีพหลักของคนไทย คือ “เกษตรกรรม” โดยคนส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพ “การทำนาข้าว” เป็นหลัก จากข้อมูลสำมะโนการเกษตร ปี  2566 พบว่า ประเทศไทยมีเกษตรกรที่เป็นผู้ถือครองทำการเกษตร จำนวน 8.7 ล้านราย คิดเป็น 30.2% ของครัวเรือนทั่วประเทศ มีเนื้อที่ถือครองทำการเกษตรทั้งสิ้น 141.7 ล้านไร่ คิดเป็น 44.2% ของเนื้อที่ทั้งประเทศ โดยปลูกข้าวมากสุด 68 ล้านไร่ คิดเป็น 48.4% [1] จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่าการทำนาข้าวมีความสำคัญกับคนไทยเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ข้าวยังเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศไทย ทั้งในด้านการบริโภคภายในประประเทศและการเป็นสินค้าเกษตรส่งออกที่สำคัญ กระทรวงพาณิชย์ได้เปิดเผยข้อมูลการส่งออกสินค้าเกษตรไทย ประจำปี 2567 พบว่า ข้าว เป็นสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุดเป็นลำดับที่ 2 มีมูลค่า 6,443.9 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 22.32% ของมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมด [2]

อย่างไรก็ตาม “การทำนาข้าว” กลับเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญของภาคเกษตรกรรม จากข้อมูลของ UNDP Thailand พบว่า ภาคส่วนในไทยที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดมาจากภาคพลังงาน 69.06% ภาคเกษตรกรรม 15.69% ภาคกระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ 10.77% และภาคของเสีย 4.88% ซึ่งภาคเกษตรกรรมเป็นอันดับ 2 ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด โดยกิจกรรมที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตรของไทยเกิดจากการปลูกพืช 77.58% และจากการเลี้ยงสัตว์ 22.42% ก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการปลูกพืชนั้นมาจาก “การปลูกข้าว” สูงถึง 51.28% [3]

เนื่องจากก๊าซเรือนกระจกทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งเป็นวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่ควรเร่งแก้ไขโดยเร็ว เพราะปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อมนุษย์ ธรรมชาติ และเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก SDG Updates ฉบับนี้ จึงชวนผู้อ่านสำรวจผลกระทบจากการปลูกข้าวของเกษตรกรต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และแนวทางในการลดผลกระทบจากการปลูกข้าว


01 – สถานการณ์การปลูกข้าวในประเทศไทย

“ข้าว” เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญต่อประเทศไทย เนื่องจากเป็นสินค้าเกษตรส่งออกหลักของประเทศและมีพื้นที่เพาะปลูกมากที่สุดคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 43.4 ของพื้นที่เกษตรทั้งหมด โดยมีจำนวนครัวเรือนที่ประกอบอาชีพปลูกข้าวหรือชาวนา 5.17 ล้านครัวเรือน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 67.2 ของจำนวนครัวเรือนเกษตรทั้งหมด [4]

ชนิดของข้าว แบ่งตามสภาพพื้นที่ปลูกได้ 3 ชนิด ได้แก่ ข้าวไร่ หมายถึง ข้าวที่ปลูกในที่ดอน ไม่มีน้ำขังในพื้นที่ปลูก  ไม่มีการทำคันนาเพื่อกักเก็บน้ำ ข้าวนาสวน หมายถึง ข้าวที่ปลูกในนาที่มีน้ำขัง ระดับน้ำในนาลึกไม่เกิน 80 เซนติเมตร ข้าวขึ้นน้ำหรือข้าวนาเมือง หมายถึง ข้าวที่ปลูกในนาที่มีน้ำขังในระหว่างการเจริญเติบโตของข้าว ระดับน้ำในนาลึกมากกว่า 80 เซนติเมตรขึ้นไป [5]

วิธีการปลูกข้าว

การทำนา หมายถึง การปลูกข้าว ในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 3 วิธี ได้แก่ การปลูกข้าวไร่ การปลูกข้าวนาดำ และการปลูกข้าวนาหว่าน โดย การปลูกข้าวไร่ ปลูกบนพื้นที่ดอนที่ไม่มีน้ำขัง ใช้วิธีหยอดเมล็ดในหลุมเล็ก ๆแล้วกลบดิน พึ่งพาน้ำฝนในการปลูก การปลูกข้าวนาดำ มี 3 ขั้นตอนหลัก 1) การเตรียมดิน โดยการไถดะ ไถแปร และคราด ปรับหน้าดินให้สม่ำเสมอ ช่วยให้ควบคุมระดับน้ำในนาได้ดี 2) การตกกล้า คือ การเอาเมล็ดไปหว่านให้งอกและเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นต้นกล้า และ 3) การปักดำ การนำต้นกล้าที่ได้จากการตกกล้าไปปลูกในนาที่เตรียมไว้ การปลูกข้าวนาหว่าน คือการหว่านเมล็ดพันธุ์ลงบนพื้นที่ที่เตรียมดินแล้ว แบ่งเป็น 3 วิธี ได้แก่ 1) การหว่านสำรวย 2) การหว่านคราดกลบ และ 3) การหว่านน้ำตม [6]

การปลูกข้าวในภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย

ประเทศไทยมีการทำนาแตกต่างกันไปตามภูมิภาค โดยภาคเหนือทำการปลูกข้าวนาสวนในที่ราบระหว่างภูเขาและทำการปลูกข้าวไร่ในที่ดอนและที่สูงบนภูเขา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พื้นที่ทำนาส่วนใหญ่เป็นที่ราบและมักแห้งแล้งในฤดูปลูกข้าว จึงนิยมปลูกข้าวนาสวน ภาคกลาง เป็นพื้นที่ราบลุ่ม ระดับน้ำในนาช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายนอาจลึกถึง 1-3 เมตร ทำให้ชาวนาในพื้นที่นี้ต้องปลูกข้าวนาเมือง ส่วนพื้นที่อื่น ๆ จะปลูกข้าวนาสวน ขณะที่ ภาคใต้ พื้นที่ปลูกข้าวเป็นที่ราบริมทะเลและที่ราบระหว่างภูเขา จึงปลูกข้าวนาสวนและมีการปลูกข้าวไร่ในพื้นที่ดอนและที่สูงบนภูเขา [7] จะเห็นได้ว่าการปลูกข้าวในแต่ละภาคทุกภาคจะมีการปลูกข้าวนาสวนซึ่งคือการปลูกข้าวแบบขังน้ำในแปลงนา 

ทั้งนี้ ข้อมูลของ UNDP Thailand พบว่า ในปี  2560 ภาคเกษตรกรรมของไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจก 58,486.02 GgCO2eq โดยกว่าครึ่งของก๊าซเรือนกระจกมาจากการปลูกข้าว 29,990.25 GgCO2eq หรือ ร้อยละ 51.28 [8] ขณะที่งานวิจัยของอนุรักษ์ วิไล ระบุว่า “ ก๊าซมีเทน เป็นก๊าซเรือนกระจกชนิดหนึ่งที่มีผลทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น การปลูกข้าวโดยการขังน้ำในแปลงนาถูกระบุว่าเป็นแหล่งปล่อยก๊าซมีเทนจากกิจกรรมของมนุษย์แหล่งใหญ่ที่สุดแหล่งหนึ่ง โดยสภาพการขังน้ำในพื้นที่ปลูกข้าวทั้งหมดของประเทศไทยมีถึง 80%” [9]

แม้ภาพรวมของการปลูกข้าวในประเทศไทยสะท้อนความสำเร็จด้านผลผลิตและเศรษฐกิจการค้า แต่การปลูกข้าวแบบขังน้ำในแปลงนา ก็ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเช่นกัน


02 – ผลกระทบการปลูกข้าวต่อสิ่งแวดล้อม

การปลูกข้าวส่งผลกระทบต่อการเกิดก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) รายงานการศึกษาของ Intergovernmental Panel on Climate Change  (IPCC) ว่าพื้นที่การเกษตรประเภทนาข้าวในประเทศแถบเอเชีย และออสเตรเลีย มีการปลดปล่อยก๊าซมีเทนสู่ชั้นบรรยากาศในปริมาณที่มาก [10] โดยก๊าซเรือนกระจก เป็นก๊าซที่มีอยู่ในธรรมชาติช่วยปกคลุมโลกให้อบอุ่นเหมาะแก่การอยู่อาศัย แต่กิจกรรมของมนุษย์ทำให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกเพิ่มสูงขึ้น จนก่อให้เกิดการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศ ซึ่งก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มีเทน (CH4) ไนตรัสออกไซด์ (N2O) ซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ (SF6) ไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ (NF3) กลุ่มก๊าซไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน(HFCs) กลุ่มก๊าซเปอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFCs) [11]

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate change) ในความหมายตามกรอบของอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ UNFCCC คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอันเป็นผลทางตรงหรือทางอ้อมจากกิจกรรมของมนุษย์ ที่ทำให้องค์ประกอบของบรรยากาศเปลี่ยนแปลงไปนอกเหนือจากความผันแปรตามธรรมชาติ

การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคเกษตร ข้อมูลของประเทศไทยในปี 2562 พบว่า ประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคเกษตร 57 CO2eq โดยมาจากการปลูกข้าวมากที่สุด 29 CO2eq รองลงมาคือ การใส่ปุ๋ยและปูน 13 CO2eq

ที่มาภาพ : ศูนย์วิจัยข้าวชัยนาท

การปลูกข้าวปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านกิจกรรมเหล่านี้ การเผาฟางข้าวหลังเก็บเกี่ยวปล่อย CH4 และ N2O การใส่ปุ๋ยในแปลงนาปล่อย CO2 และ N2O การขังน้ำในแปลงนาปล่อย CH4 โดยในบทความนี้จะเน้นไปในเรื่องของการปลูกข้าวแบบขังน้ำในแปลงนา [12]

โดยการปลูกข้าวแบบขังน้ำในแปลงนา (flooded rice paddies) เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่มีออกซิเจน (anaerobic) เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์บางชนิดที่ย่อยสลายอินทรียวัตถุในดิน เช่น ฟางข้าว ปุ๋ยคอก แล้วปล่อยก๊าซมีเทนออกมา โดยเฉพาะในช่วงหลังการไถกลบตอซังและการเติมน้ำเข้าพื้นที่อย่างต่อเนื่อง จุลินทรีย์ที่เรียกว่า Methanogens จะทำหน้าที่ย่อยสลายคาร์บอนในสภาพไร้อากาศ กลายเป็นก๊าซมีเทนลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ [13] NECTEC ได้ให้ข้อมูลว่าแหล่งที่มาของการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในกระบวนการปลูกข้าว โดยก๊าซมีเทนเกิดจากการย่อยสลายอินทรียวัตถุในสภาวะไร้ออกซิเจนในนาข้าวน้ำขัง ซึ่งเป็นแหล่งหลักของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการปลูกข้าว คิดเป็นสัดส่วนสูงสุดของคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในการผลิตข้าว [14]


03 – แนวทางการลดความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมจากการปลูกข้าว

การทำนาแบบเปียกสลับแห้งหรือการแกล้งข้าว เป็นแนวทางที่กำลังเป็นนิยมนำมาใช้เพื่อประหยัดน้ำในการทำนาในหลายประเทศของภูมิภาคอาเซียนที่มีการเพาะปลูกข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจหลัก ผลการวิจัยจากสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ (IRRI) ระบุว่าสามารถลดการใช้น้ำลงได้ร้อยละ 40 [15] และสามารถลดการปล่อยก๊าซมีเทนได้ร้อยละ 30 [16]

ขั้นตอนการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง เริ่มจากการเตรียมดินให้ราบสม่ำเสมอเพื่อให้สามารถควบคุมระบบน้ำได้ จากนั้นติดตั้งท่อดูระดับน้ำในแปลงนาเพื่อใช้สังเกตระดับน้ำตลอดช่วงปลูก โดยมีการจัดการน้ำให้มีช่วงเปียกและแห้งสลับกันตามระยะการเจริญเติบโตของข้าว เช่น การเติมน้ำเมื่อระดับน้ำในท่อลดต่ำลงมาก การขังน้ำในช่วงก่อนและหลังใส่ปุ๋ย และการรักษาระดับน้ำให้เพียงพอในช่วงที่ข้าวตั้งท้องและออกดอก ก่อนจะปล่อยให้นาแห้งเพื่อเร่งการสุกแก่ของเมล็ดข้าวในช่วงท้ายของฤดูปลูก ทั้งนี้เพื่อให้ข้าวเจริญเติบโตได้ดี ซึ่งประโยชน์ของการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง ช่วยประหยัดน้ำและลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ส่งเสริมการแตกรากที่แข็งแรง ทำให้ข้าวแตกกอมากขึ้น ช่วยเพิ่มผลผลิต เพิ่มคุณภาพ เพิ่มรายได้ อีกทั้งยังช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทนในนาข้าวซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังคือเทคนิคนี้ต้องทำในพื้นที่ที่ควบคุมน้ำได้ ไม่เหมาะกับดินทรายและดินเค็ม และควรเลือกใช้วิธีการเปียกสลับแห้งให้เหมาะสมกับอายุของข้าว โดยข้าวอายุเก็บเกี่ยวยาว (120 วัน) ใช้วิธีการเปียกสลับแห้ง 2 ครั้ง ข้าวอายุเก็บเกี่ยวสั้น (95 วัน) ใช้วิธีการเปียกสลับแห้ง 1 ครั้ง เนื่องจากครั้งที่ 2 ตรงกับช่วงข้าวตั้งท้องจะส่งผลให้เมล็ดข้าวลีบ [17]


04 – การสนับสนุนเกษตรกรทำนาแบบเปียกสลับแห้ง

แม้ภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม  จะส่งเสริมการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง แต่เกษตรกรหลายรายยังคงใช้วิธีดั้งเดิม เนื่องจากกังวลเรื่องระบบชลประทานที่ไม่แน่นอน ขาดองค์ความรู้ในการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง ความพร้อมของพื้นที่ ความกังวลด้านผลผลิตที่จะลดลง ไม่มีเงินทุนในการปรับระดับที่ดิน 

ปัจจัยที่จะช่วยให้เกษตรกรตัดสินใจทำนาแบบเปียกสลับแห้งได้ คือการได้รับสัญญาการจัดสรรน้ำตรงเวลาจากกรมชลประทานมากที่สุด รองลงมาคือการมีองค์ความรู้จากเกษตรกรต้นแบบ เงินช่วยเหลือในการปรับระดับที่ดิน และการรวมกลุ่มผู้ใช้น้ำในคลองชลประทานอย่างเข้มแข็ง นอกจากนี้ยังต้องการพี่เลี้ยงจากหน่วยงานรัฐ/เอกชนเข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิด 

จากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น พบว่าข้อเสนอแนะของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) มีความน่าสนใจและมีศักยภาพในการจูงใจเกษตรกรไปสู่การทำนาเปียกสลับแห้ง โดยข้อเสนอแนะการสนับสนุนการทำนาเปียกสลับแห้งมีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้

1) มาตรการสร้างความมั่นใจเรื่องกำหนดเวลาและปริมาณการส่งน้ำให้กลุ่มผู้ใช้้น้ำ การสร้างระบบกลุ่มผู้ใช้น้ำที่เข้มแข็ง จนสามารถร่วมมือวางระบบการจัดสรรน้ำร่วมกับกรมชลประทานได้สำเร็จ

2) แรงจูงใจเพิ่มเติมในระยะสั้นและระยะกลาง แรงจูงใจในระยะสั้น คือการให้ชาวนาสามารถขายคาร์บอนเครดิตจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ในระยะสั้น ราคาการซื้อขายคาร์บอนเครดิตยังค่อนข้างผันผวน ดังนั้น รัฐควรมีมาตรการอุดหนุนการทำนาเปียกสลับแห้งแบบมีเงื่อนไขเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจก โดยมีมาตรการตรวจสอบและวัดปริมาณก๊าซมีเทนในนาตามมาตรฐานที่สากลยอมรับอย่างเคร่งครัด ส่วนในระยะกลาง รัฐบาลควรเร่งจัดทำนโยบายตลาดคาร์บอนภาคบังคับ

3) ควรมีมาตรการเสริม เช่น การสนับสนุนความร่วมมือระหว่างเจ้าของนากับผู้เช่านาที่ต้องลงทุนปรับระดับแปลงนาด้วยเลเซอร์โดยให้มีสัญญาเช่าอย่างต่ำ 3-4 ปีให้คุ้มกับการลงทุนของผู้เช่านา  และเก็บข้อมูลการทำนาเปียกสลับแห้งอย่างเป็นระบบ เพื่อนำไปวิเคราะห์ปรับปรุงและส่งเสริมให้ดีขึ้น

4) ข้อเสนอเรื่องการรวมกลุ่มผู้ใช้น้ำเพื่อสนับสนุนการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง [18]


05 – บทส่งท้าย

การปลูกข้าวยังคงเป็นกิจกรรมหลักของเกษตรกรไทย เป็นรากฐานของความมั่นคงทางอาหารของประเทศ อีกทั้งยังเป็นสินค้าเกษตรส่งออกสำคัญ สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรไทยและประเทศ อย่างไรก็ตาม วิธีปลูกข้าวที่ได้รับความนิยมคือ การปลูกข้าวแบบขังน้ำในแปลงนา ซึ่งก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ การปรับเปลี่ยนวิธีการปลูกข้าว โดยการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง เป็นแนวทางที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ ทั้งยังสามารถรักษาผลผลิตในระดับเดิมได้หากบริหารจัดการอย่างเหมาะสม เพื่อให้แนวทางนี้ประสบความสำเร็จในวงกว้าง ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการส่งเสริมองค์ความรู้แก่เกษตรกรอย่างต่อเนื่อง จัดสรรงบประมาณสำหรับปรับปรุงพื้นที่และติดตั้งอุปกรณ์ รวมถึงสร้างระบบประกันการจัดสรรน้ำที่มั่นใจได้ พร้อมทั้งผลักดันกลไกแรงจูงใจ เช่น ตลาดคาร์บอน และบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ท้องถิ่น นักวิจัย และภาคเอกชนในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านไปสู่การเกษตรที่ยั่งยืน

อติรุจ ดือเระ – บรรณาธิการ


อ่านข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง
SDG Updates | ‘อู่ข้าวอู่น้ำ’ มายาคติความมั่นคงทางอาหารของไทย : สำรวจสถานการณ์และความท้าทายที่เกิดขึ้น
สำนักงานเลขาธิการสภาฯ ชวนแสดงความเห็นต่อร่าง พ.ร.บ. ลดก๊าซเรือนกระจกและคาร์บอนเครดิต หวังประชาชนมีส่วนร่วมการจัดการ Climate Change
Policy Brief | “เกษตรกรรมยั่งยืน” โจทย์ท้าทายบรรลุ SDG2 ปลดล็อก-ขับเคลื่อนให้ก้าวหน้า ด้วยมาตรการทางกฎหมายและเศรษฐศาสตร์ โครงการย่อยที่ 2 (เป้าหมายย่อยที่ 2.4)
นิเวศเกษตร (Agroecology): การเปลี่ยนแปลงจากฐานรากเพื่อสร้างภูมิต้านทานต่อ climate change และความไม่มั่นคงทางอาหาร

ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ
#SDG2 ยุติความหิวโหย
– (2.3) เพิ่มผลิตภาพทางการเกษตรและรายได้ของผู้ผลิตอาหารรายเล็ก โดยเฉพาะผู้หญิง คนพื้นเมือง ครัวเรือนเกษตรกร เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ และชาวประมง ให้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า โดยรวมถึงการเข้าถึงที่ดิน ทรัพยากรและปัจจัยการผลิต ความรู้ บริการทางการเงิน ตลาด และโอกาสสำหรับการเพิ่มมูลค่าและการจ้างงานนอกฟาร์ม อย่างมั่นคงและเท่าเทียม ภายในปี พ.ศ. 2573
– (2.4) สร้างหลักประกันว่าจะมีระบบการผลิตอาหารที่ยั่งยืนและดำเนินการตามแนวปฏิบัติทางการเกษตรที่มีภูมิคุ้มกันที่จะเพิ่มผลิตภาพและการผลิต ซึ่งจะช่วยรักษาระบบนิเวศ เสริมขีดความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภาวะอากาศรุนแรง ภัยแล้ง อุทกภัย และภัยพิบัติอื่น ๆ และจะช่วยพัฒนาคุณภาพของดินและที่ดินอย่างต่อเนื่อง ภายในปี พ.ศ. 2573
#SDG8 งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
– (8.4) ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรของโลกในการบริโภคและการผลิตอย่างต่อเนื่อง และพยายามที่จะแยกการเติบโตทางเศรษฐกิจออกจากความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นไปตามกรอบการดำเนินงาน 10 ปี ว่าด้วยการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน โดยมีประเทศที่พัฒนาแล้วเป็นผู้นำในการดำเนินการไปจนถึงปี พ.ศ. 2573
#SDG13 การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
– (13.2) บูรณาการมาตรการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในนโยบาย ยุทธศาสตร์ และการวางแผนระดับชาติ
– (13.3) พัฒนาการศึกษา การสร้างความตระหนักรู้ และขีดความสามารถของมนุษย์และของสถาบันในเรื่องการลดผลกระทบและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเตือนภัยล่วงหน้า


เอกสารอ้างอิง
[1] ไทยพีบีเอส. (8 พฤษภาคม 2467). เกษตรกรไทย ปลูกอะไรมากที่สุด 5 อันดับแรก. สืบค้นจาก  https://www.thaipbs.or.th/now/infographic/283
[1] สำนักงานสถิติแห่งชาติกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม. (2567). สำมะโนการเกษตร พ.ศ. 2566 ทั่วราชอาณาจักร. สืบค้นจาก https://www.nso.go.th/nsoweb/storage/title_presentation/2024/20241107113240_99706.pdf
[2] [4] สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์. (มีนาคม 2568). การศึกษาเรื่อง สถานการณ์การค้าข้าวและโอกาสการพัฒนาสินค้าข้าวไทย. สืบค้นจาก https://shorturl.asia/rI7tB
[3] UNDP Thailand. (28 เมษายน 2567). เมื่อโลกร้อนและรวน: ภาคส่วนใดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด?. สืบค้นจาก https://www.undp.org/stories/greenhouse-emissions-thailand-th
[5] มหาวิทยาลัยเกษตรศาตร์ ศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว. (ม.ป.ป.). งานวิจัยพัฒนาพันธ์ุข้าว. สืบค้นจาก https://dna.kps.ku.ac.th/index.php/rsc-news/new-rsc-rgd/news/205-rice-for-life
[5] [6] [7] มูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน. (ม.ป.ป.). ข้าว. สืบค้นจาก https://saranukromthai.or.th/list-oldchild/138 
[8] UNDP Thailand. (3 เมษายน 2568). เกษตรเท่าทันภูมิอากาศ เราปรับตัวเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกได้อย่างไร. สืบค้นจาก https://www.undp.org/thailand/stories/agriculture-greenhouse-emissions-th
[9] อนุรักษ์ วิไล. (2543). ผลของระดับน้ำต่อการปล่อยก๊าชมีเทนจากนาข้าวที่มีการปลูกข้าวโดยวิธีหว่านน้ำตมและปักดำ. สืบค้นจาก https://digiverse.chula.ac.th/Info/item/dc:57785
[10] กรมอุตินิยมวิทยา. (ม.ป.ป.). ภาวะเรือนกระจก Greenhouse effect. สืบค้นจาก https://shorturl.asia/qT8pQ
[11]  ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย. (ม.ป.ป.). มาทำความรู้จักก๊าซเรือนกระจกกันเถอะ. สืบค้นจาก https://climatecare.setsocialimpact.com/carethebear/article/detail/9
[11] [12] ศูนย์วิจัยข้าวชัยนาท กองวิจัยและพัฒนาข้าว กรมการข้าว. (กันยายน 2567). ทำนาลดโลกร้อน. สืบค้นจาก https://files.ricethailand.go.th/files/50/documents/page_doc/files-rice-1731312821661.pdf
[13] FDI Group. (16 มิถุนายน 2568). ทำนาข้าว..เกี่ยวข้องอย่างไร ? กับภาวะโลกร้อน ภาคเกษตรไทยต้องปรับตัวทิศทางไหนถึงลดก๊าซมีเทน. สืบค้นจาก https://shorturl.asia/XcR0U
[14] ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC). (ม.ป.ป.). เส้นทางสู่ Decarbonization ร่วมด้วยช่วยกัน เพื่อชุมชนอย่างยั่งยืน. สืบค้นจาก https://nectec.or.th/ace2024/wp-content/uploads/2024/09/ss6-NECTEC-GHG.pdf
[15] กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. (ตุลาคม 2559). คู่มือการทำนาแบบเปียกสลับแห้งแกล้งข้าว ภายใต้โครงการจัดทำแปลงสาธิตการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง ปีงบประมาณ พ.ศ.2558. สืบค้นจาก https://water.rid.go.th/waterm/template/manager/FProjectMAC/portfolio/58.pdf?utm_source=chatgpt.com
[16] กรมประชาสัมพันธ์. (7 มกราคม 2568). ไทยติดสปีดพัฒนาการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยากว่า 10 ล้านไร่ หนุนทำนาเปียกสลับแห้งลดก๊าซมีเทน-ส่งเสริมใช้จุลินทรีย์ย่อยฟาง-ตอซังข้าว. สืบค้นจาก https://www.prd.go.th/th/content/page/index/id/353265
[17] กรมการข้าว. (ม.ป.ป.). เปียกสลับแห้งแกล้งข้าว เทคนิคประหยัดน้ำ เพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน. สืบค้นจาก https://files.ricethailand.go.th/files/15/documents/page_doc/files-rice-1749007607422.pdf
[18] สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI). (28 สิงหาคม 2566). นาเปียกสลับแห้ง หนทางแห่งอนาคต ลดผลกระทบโลกร้อน. สืบค้นจาก https://tdri.or.th/2023/08/alternative-wetting-and-drying-rice/

Author

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็นและรายละเอียดของท่านจะถูกเก็บเป็นความลับและใช้เพื่อการพัฒนาการสื่อสารองค์ความรู้ของ SDG Move เท่านั้น
* หมายถึง ข้อมูลที่จำเป็น