การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดน้ำท่วมหาดใหญ่เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นภัยพิบัติรุนแรงที่สร้างผลกระทบต่อประชาชนทุกกลุ่มทุกอาชีพ ทั้งเจ้าของธุรกิจร้านค้า หรือบริษัทต่าง ๆ ที่ได้รับความเสียหาย ลูกจ้างเสี่ยงถูกเลิกจ้างงาน เกษตรกรที่พื้นที่ทำกินถูกน้ำท่วมขัง ชาวประมงที่ต้องพึ่งพาระบบนิเวศทางทะเลที่สมบูรณ์ รวมถึงกลุ่มเปราะบางที่มีปัญหาด้านสุขภาพ เด็ก และผู้สูงวัย ซึ่งอาจท้าทายทบเท่าทวีคูณกว่าคนทั่วไป จำเป็นต้องได้รับการดูแล ฟื้นฟู และเยียวยา ภายใต้ แนวคิด ‘ความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ’ (climate justice) อย่างครอบคลุม และไม่ถูกกีดกันออกจากระบบหรือกลไกการปรับตัวใด ๆ ของภาครัฐหรือภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
แม้แนวคิดข้างต้นถูกหยิบนำมาถกถึงบ้างแล้วในสังคมไทย แต่ยังไม่เห็นพลวัตการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมมากนัก และเมื่อลองสำรวจอย่างจริงจังพบว่า ‘Thai Climate Justice For All (TCJA)’ โครงการภายใต้สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา (LDI) ได้พยายามขับเคลื่อนและสื่อสารเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นจริง SDG in Action ฉบับนี้ จึงชวน คุณกฤษฎา บุญชัย ผู้ก่อตั้ง TCJA และเลขาธิการ LDI มาแลกเปลี่ยนถึงที่มาที่ไป ภาพฝัน อุปสรรค และข้อเสนอแนะต่อการทำงานเพื่อหนุนเสริมให้คนทุกกลุ่มถูกนับรวมในสมการของการตั้งรับและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
01 – รวมกันเราอยู่ แยกหมู่เราตาย
“สภาพการณ์ก่อนการเกิดขึ้นของ TCJA คือยังขาดหน่วยที่จะเชื่อมประสานเรื่องความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ เพราะแม้มีองค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานเกี่ยวข้องกับ climate change จำนวนไม่น้อย แต่จะความสนใจต่อประเด็นนี้ในเรื่องเฉพาะ และต่างมีกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน เช่น กลุ่มขับเคลื่อนประเด็นป่าชุมชน กลุ่มขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยั่งยืน และกลุ่มติดตามปัญหามลภาวะจากอุตสาหกรรม”
คุณกฤษฎา เปิดบทสนทนาด้วยการย้อนทวนถึงวันที่ TCJA ยังไม่ตั้งไข่ ชี้ให้เห็นการก่อรูปจากจุดเล็ก ๆ มาสู่การรวมตัวเพื่อผนึกกำลังขับเคลื่อนเชิงระบบและเชิงลึก ก่อนเล่าต่อว่า “ในอดีตมีกลุ่มขับเคลื่อน climate justice เช่น ‘คณะทำงานโลกเย็นที่เป็นธรรม’ แต่ดำเนินการได้ไม่นานก็สลายตัวกันไป ช่องว่างการทำงานตรงนี้จึงเป็นจุดที่ทำให้ตัดสินใจริเริ่ม TCJA ขึ้น โดยใช้ ‘สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา’ ที่ตนทำงานอยู่เป็นหัวเรือหลักในการวางรากฐาน เพราะเป็นองค์กรที่มีทั้งความรู้และเครือข่าย โดยเฉพาะเรื่องการจัดการทรัพยากรโดยชุมชน เรื่องป่าชุมชน และเรื่องความมั่นคงอาหาร จึงนำฐานตรงนี้มาสร้างโซ่ข้อกลางเชื่อมโยงกลุ่มต่าง ๆ ที่ทำงานเชิงประเด็นให้มีเป้าหมายและเห็นภาพการทำงานเพื่อลดความเสี่ยงและตั้งรับปรับตัวต่อ climate change และผลักดันการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างสภาวะภูมิอากาศที่เป็นธรรมร่วมกัน กลุ่มเหล่านี้มีหลากหลายมาก เช่น มูลนิธิเกษตรยั่งยืนฯ ศูนย์ฝึกอบรมวนศาสตร์ชุมชน มูลนิธิบูรณะนิเวศ นักวิชาการด้านพลังงานที่ยั่งยืนและเป็นธรรม มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ทำงานกับกลุ่มประมงพื้นบ้าน เป็นต้น”

อย่างไรก็ดี แม้กลุ่มจะหลากหลายแต่จุดร่วมหนึ่งที่ทุกกลุ่มมีร่วมกันคือการทำงานเพื่อคุ้มครองสิทธิชุมชนและให้ความสำคัญกับความเป็นธรรมสภาพภูมิอากาศ TCJA จึงมีสองเรื่องนี้เป็นรากฐานหลัก โดยเน้นการคุ้มครองสิทธิชุมชนพร้อม ๆ กับผลักดันให้ภาครัฐและภาคเอกชนมีความรับผิดชอบในการสร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม หรืออื่นใดที่จะเป็นต้นเหตุให้เกิด climate change”
การรวมพลัง NGOs ไทย จนกำเนิด TCJA ออกมาได้ จึงไม่ใช่เพียงแค่การสะท้อนความก้าวหน้าของเครือข่าย NGOs เท่านั้น แต่นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่หมายถึงการสร้างความเข้มแข็งให้ประชาชนทุกกลุ่มทุกพื้นที่เข้าใจและเข้าถึงการตั้งรับปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมีเป้าหมายสร้างความเป็นธรรมสภาพภูมิอากาศร่วมกันมากขึ้น
02 – ภาพจริงของความไม่เป็นธรรม
เมื่อภาพฝันชัดและรวมพลังเครือข่ายได้เข้มแข็งแล้ว ด่านต่อไปคือ การสำรวจและทำความเข้าใจภาพจริงว่า ชุมชนท้องถิ่นต่าง ๆ ในไทยกำลังเผชิญกับความไม่เป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศอย่างไรบ้าง โดยกรณีที่พบและเด่นชัดมากคือกรณีของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ทำไร่หมุนเวียน เช่น กลุ่มกะเหรี่ยง ซึ่งคุณกฤษฎา เรียกกลุ่มนี้ว่าเป็น ‘ผู้รับผลกระทบที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สร้างผลกระทบ’ โดยอธิบายเพิ่มเติมว่า “กลุ่มนี้เป็นจำเลยของรัฐและสังคม พวกเขาถูกกล่าวหาว่าเผาป่าทำให้เกิดไฟป่า ฝุ่น PM2.5 และเป็นต้นตอที่ทำให้เกิดโลกร้อน ทั้งที่ความเป็นจริงพวกเขามีบทบาทสำคัญอย่างมากในการปกป้องป่าที่เหลืออยู่ของประเทศไทย วิถีชีวิตและการเกษตรแบบไร่หมุนเวียนนั้นปล่อยคาร์บอนเพียงส่วนน้อย หลายกระบวนการยังช่วยดูดซับคาร์บอนเสียด้วยซ้ำ ในทางกลับกันเมื่อเกิดภัยพิบัติที่มีสาเหตุมาจาก climate change เช่น น้ำท่วม ดินโคลนถล่ม พวกเขาจะได้รับผลกระทบโดยตรงและรุนแรงด้วย ดังเห็นตัวอย่างจากกรณีชุมชนกะเหรี่ยงหินลาด จังหวัดเชียงราย ที่ได้รับผลกระทบจากดินถล่ม ทั้งที่พวกเขามีส่วนอย่างมากในการช่วยรักษาป่ากว่าหมื่นไร่”

คุณกฤษฎา ชี้ว่ากลุ่มนี้ต้องได้รับการเสริมสร้างขีดความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์โลกร้อนที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น โจทย์คิดที่เป็นรูปธรรมต่อไปก็คือจะดับหรือควบคุมไฟป่าอย่างไร ซึ่งความจริงความรู้และภูมิปัญญาของชุมชนที่มีอยู่เดิมนั้นทำได้ดี เพียงแต่เมื่อภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้น TCJA และภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องหาหนทางเพิ่มขีดความสามารถของชุมชนมากยิ่งขึ้น พร้อมไปกับการผลักดันให้มีนโยบายคุ้มครองสิทธิของชุมชนท้องถิ่น
จากพื้นที่สูงสู่พื้นที่เมือง คุณกฤษฎา ชวนให้เห็นว่า ‘คนจนเมือง’ เป็นอีกกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจาก climate change โดยอธิบายว่า “ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเป็นเมืองสูง พบว่าความเหลื่อมล้ำของฐานะทางเศรษฐกิจค่อนข้างเยอะมาก ดังนั้นแม้อยู่ในเมืองหลวงที่โครงสร้างพื้นฐานดีกว่าต่างจังหวัดก็ไม่ได้หมายความว่าจะรอดจากภัยของ climate change ได้ โดยเฉพาะกลุ่มคนจนที่ไม่มีขีดความสามารถที่จะบรรเทาหรือหลีกหนีได้ เช่น คนที่อาศัยในสลัม ผู้ประกอบอาชีพขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง และกลุ่มเด็กอ่อนในศูนย์เด็กเล็ก คนกลุ่มนี้แทบจะเข้าไม่ถึงทรัพยากรในการป้องกันตัวเองจากทั้งอากาศที่ร้อนหรือน้ำท่วมที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น”

03 – ผลิตองค์ความรู้บนฐานสังคมศาสตร์
ปัญหาและความท้าทายที่ชุมชนต้องเผชิญไม่ว่าจะเป็นชุมชนในชนบท พื้นที่สูง หรือชุมชนเมือง จำเป็นต้องได้รับการจัดการโดยเร่งด่วนเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น โดย TCJA ได้แสดงบทบาทในการมีส่วนร่วมหนุนเสริมชุมชนให้สามารถตั้งรับปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศอย่างครอบคลุมมากที่สุดผ่านกิจกรรมและโครงการจำนวนมาก โดยหนึ่งในโครงการเรือธงที่สำคัญคือ “การเสริมสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับ climate justice ให้แก่คนไทย”
“TCJA บุกเบิกการผลิตองค์ความรู้เรื่องนี้ด้วยมุมมองใหม่ โดยใช้สังคมศาสตร์เป็นฐานรากที่สำคัญ สร้างสรรค์เนื้อหาที่ช่วยให้เข้าใจถึงความเชื่อมโยงของ climate justice กับสังคม วิถีชีวิต และวัฒนธรรมของชุมชนต่าง ๆ ในมิตินิเวศวัฒนธรรม พร้อมทั้งขับเน้นประเด็นนิเวศวิทยาการเมืองผ่านมุมมองทางรัฐศาสตร์ที่ช่วยฉายภาพว่ากลไกหรือระบบใดมีปัญหาและก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อการจัดการหรือการปรับตัว โดยตัวอย่างบทความที่เผยแพร่ เช่น แนวคิดเรื่อง green colonialism ซึ่งองค์ความรู้แนวนี้ช่วยให้คนไทยเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่าง climate change กับชีวิตของตัวเองมากขึ้น”

อีกหนึ่งกิจกรรมที่ TCJA จัดแล้วประสบผลสำเร็จคือการจัดเวที COP ภาคประชาชน ซึ่งเป็นเวทีสาธารณะที่จัดคู่ขนานกับเวที COP ระดับโลก เป็นการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมติดตามประเด็น climate change อย่างเข้าใจ เกิดการแลกเปลี่ยนความเห็น นำข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ไปต่อยอดเรียนรู้ต่อได้
ทั้งนี้ ผลงานที่ปรากฏบนเว็บไซต์และเฟสบุ๊คของ TCJA เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนซึ่งยืนยันว่าองค์กรแห่งนี้ได้ลงมือทำอย่างเอาจริงจังต่อการผลักดัน climate justice ให้เกิดในสังคมไทยอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะงานวิจัยที่หลากหลาย เช่น งานวิจัยเชิงปฏิบัติการ: การพัฒนาศักยภาพกลุ่มชาติพันธุ์ (กะเหรี่ยง) เพื่อระบบอาหารที่ยั่งยืนท่ามกลางการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศ และ ข้อเสนอแนะประเด็นความยุติธรรมทางสภาพภูมิอากาศต่อร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. …. ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากแก่การนำไปต่อยอดเรียนรู้ ปรับสู่การปฏิบัติ และออกแบบนโยบาย
04 – สร้างผู้นำเยาวชนเพื่อสานต่อความเป็นธรรมที่ยั่งยืน
นอกจากการส่งเสริมความรู้และแนวทางแก่คนทั่วไปแล้ว TCJA ยังให้ความสำคัญกับ ‘กลุ่มเยาวชน’ เป็นพิเศษ เพราะพวกเขาคือคนที่จะเติบโตมาอยู่กับโลกอีกนานจึงเป็นพลังสำคัญที่ต้องมีบทบาทในการสานต่อภารกิจการสร้างความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ
อย่างไรก็ดี คุณกฤษฎา เผยว่าปัจจุบันคนรุ่นใหม่ในประเทศไทยมองเห็นปัญหา climate change แต่รู้สึกว่าไม่มีหวังเพราะคิดว่าปัญหาใหญ่เกินไป เป็นปัญหาของโลก แล้วพวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้ ขณะเดียวกันพวกเขาก็ถูกสอนให้เข้าใจเพียงว่าหนทางที่จะช่วยโลกได้นั้นมีอยู่ไม่กี่ทาง เช่น ลดถุงพลาสติก ประหยัดไฟฟ้า จัดการขยะ และถูกสอนให้เข้าใจว่าให้เน้นแก้ไขเพียงแค่ปรับพฤติกรรมบุคคลทั่วไป แต่พวกเขาไม่ถูกชวนให้เข้าใจปัญหาเชิงโครงสร้างใหญ่ว่าจริง ๆ แล้ว 70% ของก๊าซเรือนกระจกนั้นมาจากอุตสาหกรรมพลังงานไม่ใช่ประชาชนทั่วไป ซึ่งจุดนี้จะช่วยให้เข้าใจความเหลื่อมล้ำของสาเหตุและผลกระทบที่ถูกต้องและเชื่อมโยง และสามารถตั้งคำถามเพื่อมองหาแนวทางที่ตรงจุดมากขึ้น

ด้วยความเชื่อมั่นในพลังของคนรุ่นใหม่ TCJA จึงมุ่งเน้นการเปิดพื้นที่ปลอดภัยและอิสระ ส่งเสริมการรวมกลุ่ม สร้างเครือข่ายที่หลากหลายขึ้นเพื่อส่งเสริมความรู้และความพร้อมให้กับพวกเขาในการขึ้นมาเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่สามารถช่วยชุมชนของตนให้มีขีดความสามารถในการปกป้องสิทธิตนเองและตั้งรับปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ โดยคุณกฤษฎาชี้ว่า “หนึ่งในกลไกสำคัญคือการพัฒนากลุ่มอาสาสมัครของเยาวชนคนรุ่นใหม่ภายใต้ชื่อ Youth Climate Justice Advocates หรือ YCJA ขึ้นมา โดยมีน้องณัฐธิดา รัตนสวัสดิ์ หัวหน้าฝ่ายสื่อสารและการเรียนรู้เยาวชน TCJA เป็นผู้ริเริ่มและขับเคลื่อนซึ่งปัจจุบันมี 2 รุ่นแล้ว โดยกระบวนการคืออาสาสมัครเยาวชนเหล่านี้จะเข้ามาร่วมขับเคลื่อนและเรียนรู้กับ TCJA รวมทั้งสร้างผลงานการสื่อสารและการรณรงค์ทางสังคม โดย TCJA ทำหน้าที่เป็นแรงสนับสนุนผ่านจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ (workshop) และอบรมเติมเต็มความรู้ความเข้าใจแก่เยาวชนกลุ่มนี้”
นอกจากนี้น้องณัฐธิดายังเป็นหลักในการจัดทำหลักสูตรเกี่ยวกับ climate justice เพื่อการเรียนการสอนในโรงเรียน โดยคุณกฤษฎาเล่าว่า “แม้ปกติในโรงเรียนมีหลักสูตรที่เกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อมอยู่บ้างแล้ว แต่หลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องโลกร้อนหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นยังไม่มี TCJA จึงเริ่มทำหลักสูตรขึ้น โดยตอนนี้นำร่องความร่วมมือกับโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นหลักสูตรระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ตอนนี้ใช้จัดการเรียนการสอนได้จริงและพยายามปรับรูปแบบหลักสูตร หากสำเร็จเห็นผลก็อาจขยายผลไปที่โรงเรียนอื่น ๆ ต่อได้”
ความพยายามเหล่านี้ออกดอกผลที่เป็นรูปธรรม ดังเห็นได้จากกิจกรรมต่าง ๆ ของ TCJA ในปัจจุบันส่วนใหญ่มาจากการระดมความคิดและดำเนินการของเยาวชนกลุ่มนี้ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความพร้อมที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำสร้างความเป็นธรรมด้านสภาพภูมิอากาศแก่ชุมชนหรือกลุ่มของตน

05 – ‘กินง่าย’ และ ‘มีส่วนร่วม’ กุญแจสำคัญของ TCJA
ความมุ่งมั่นตั้งใจในการผลิตองค์ความรู้และส่งเสริมพลังภาคประชาชนและบทบาทเยาวชนหนุนเนื่องให้ TCJA เป็นที่รู้จักและยอมรับในฐานะองค์กรแนวหน้าของการขับเคลื่อน climate justice ในไทย เมื่อถามว่ามีปัจจัยใดบ้างที่เป็นแรงผลักดันให้ TCJA ทำงานได้อย่างต่อเนื่องและประสบความสำเร็จ คุณกฤษฎา เผยว่ามีกุญแจที่สำคัญอย่างน้อย 2 ดอก ได้แก่ การย่อยเรื่อง climate change ให้กินง่าย และการเปิดพื้นที่ให้ชุมชนแลกเปลี่ยนและมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์องค์ความรู้
“TCJA ใช้แนวคิดทางมานุษยวิทยาและพยายามไม่ใช้ภาษาเชิงวิชาการในการสื่อสารพูดคุยกับชาวบ้าน ขณะเดียวกันเมื่อเข้าพื้นที่ไปตามชุมชนต่าง ๆ เราก็จะพยายามเรียนรู้จากชาวบ้านว่าพวกเขาได้รับผลกระทบจากสภาพดิน ฟ้า อากาศ ยังไง น้ำท่วม ฝนแล้ง ความร้อน ภัยพิบัติ ไปจนถึงปรากฏการณ์อื่น ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างไร เพราะโดยปกติชาวบ้านอยู่กับธรรมชาติ เช่น ชุมชนที่อยู่กับแม่น้ำโขง ชุมชนที่อยู่กับป่า ชุมชนที่ทำเกษตร พวกเขาเหล่านี้จะมีภูมิปัญญาที่ลุ่มลึกในการอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยวิถีชีวิต ความคุ้นชิน หรือความเข้าใจในแบบที่ต่างออกไปจากนักวิชาการ กระบวนการเช่นนี้เองที่เป็นเครื่องมือแบบนักมานุษยวิทยา หรือโดยสรุปคืออย่าเอาแนวคิดของเรากระโจนเข้าไปบอกเขาหรือไปครอบงำเขา แต่ต้องเริ่มจากเรียนรู้สภาพ โลกทัศน์ของ และความสัมพันธ์ของเขาที่มีต่อธรรมชาติและสภาพภูมิอากาศ ว่าเขาดำรง เข้าใจ มีแบบแผนชีวิตอย่างไร จากนั้นจึงชวนคุยหรือวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากบริบทของท้องถิ่นของเขาเอง”

อย่างไรก็ดี แม้ TCJA จะมีความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนประเด็นที่สนใจอยู่มาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอุปสรรคความท้าทายใดเลย คุณกฤษฎา กล่าวว่า “เนื่องจากเป็นการบุกเบิกมุมมองใหม่และเป็นเรื่องที่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่คุ้นเคย การจะเชื่อมโยงให้พวกเขาเข้าใจว่า climate กับ justice เกี่ยวกันอย่างไรจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ตรงนี้เราพยายามแก้ด้วยการนำเสนอสิ่งที่เป็นรูปธรรมและเห็นภาพชัด เช่น ไฟป่า ฝุ่น PM2.5 แล้วเชื่อมโยงกับ climate change หรือตัวอย่างเรื่องการเกษตร เราก็ฉายภาพให้เขาเห็นว่าเกษตรนิเวศจะช่วยลดโลกร้อนอย่างไร ก็จะเห็นว่าตัวของพวกเขาจะสามารถมีส่วนร่วมในการลดผลกระทบ climate change ได้อย่างไรบ้าง”
“อีกข้อท้าทายคือการต้อง ‘ดีล’ กับความเข้าใจร่วมของสังคมที่คลาดเคลื่อน โดยเฉพาะเรื่องคาร์บอนเครดิต ซึ่งภาคเอกชนมักเสนอว่าเป็นแนวทางที่คุ้มค่าทั้งต่อตัวเอง ชาวบ้าน และสิ่งแวดล้อม เพราะเมื่อชาวบ้านนำเครดิตมาขาย ภาคเอกชนก็จะได้เครดิต ชาวบ้านได้เงิน และสิ่งแวดล้อมจะดีขึ้น แต่ TCJA มองว่านี่เป็นวิธีการฟอกเขียวแบบหนึ่ง เพราะคาร์บอนเครดิตที่ชดใช้เทียบไม่ได้กับคาร์บอนที่เอกชนเหล่านั้นปล่อยออกมา แต่พวกเขายังคงได้ใบผ่านทางให้ปล่อยได้อยู่เสมอ ขณะที่เงินที่ชาวบ้านได้รับต้องเเลกมากับการสูญเสียสิทธิในการจัดการป่าชุมชนของตนเอง หรือมีสิทธิน้อยลงเพราะต้องปันพื้นที่สิทธิให้เอกชนภายนอกเข้ามามีส่วนร่วมและกำกับตัดสินใจ”
“แต่เรื่องนี้จะคัดค้านหรือเปลี่ยนให้คนเชื่อตามค่อนข้างยาก เพราะมโนทัศน์ของคนจำนวนมาก ทั้งนักเศรษฐศาสตร์ ภาครัฐ หรือแม้แต่ภาคประชาสังคมหลายองค์กร ก็ยังมองว่าคาร์บอนเครดิตเป็นโอกาสของชุมชน ซึ่งเราเองก็เข้าใจบนพื้นฐานความจำเป็นของเขา แต่สิ่งที่เราทำคือเชื่อมโยงให้เห็นว่ากระบวนการไม่ได้จบแค่การได้เงิน แต่จะตามมาด้วยปัญหาที่พัวพันอีกหลายอย่าง” คุณกฤษฎา เน้นย้ำ
06 – ข้อแนะนำถึงเพื่อนร่วมทาง
ก่อนจบบทสนทนา คุณกฤษฎา ทิ้งท้ายเป็นกำลังใจให้ทุกภาคส่วน ผู้เป็นดั่งเพื่อนร่วมทางที่ทำงานขับเคลื่อนการจัดการและตั้งรับปรับตัวกับ climate change พร้อมทั้งแนะนำ 3 เรื่องที่เรียนรู้จากการขับเคลื่อน TCJA โดยเรื่องแรกคือการเข้าใจสังคมและผู้คน ว่า “อยากให้คนทำงานด้านนี้เริ่มจากการเข้าใจผู้คนในสังคมก่อน โดยเฉพาะการออกแบบนโยบายต่าง ๆ ต้องทำให้คนทุกคนมีส่วนร่วม และคนเหล่านั้นต้องได้รับการส่งเสริมความเข้าใจเรื่อง climate change ว่าเกี่ยวข้องหรือกระทบต่อชีวิตพวกเขาอย่างไรในมิติต่าง ๆ”
ต่อมาคือการมอง climate justice ผ่านมิติที่หลากหลาย ทั้งความธรรมระหว่างรุ่น ความเป็นธรรมของผู้ก่อมลพิษกับประชาชน หรือความเป็นธรรมที่บุคคลชายขอบถูกละเมิดสิทธิไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยคุณกฤษฎา อธิบายเพิ่มเติมว่า “ที่ผ่านมานักสิ่งแวดล้อมกับนักสิทธิมักทำงานแยกจากกัน ไม่เข้าใจกัน และค่อนข้างพูดกันคนละภาษา โดยนักสิ่งแวดล้อมมักจะพูดเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ การอนุรักษ์ หรือระบบนิเวศ ขณะที่นักสิทธิมักเน้นความสนใจไปที่เรื่องของสิทธิในนโยบาย สิทธิในการมีส่วนร่วม สิทธิมนุษยชน หรือสิทธิของกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งเหมือนจะอยู่กันคนละโลก แต่ตอนนี้โลกเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างยากจะแยกส่วน สิ่งแวดล้อมกับสิทธิชุมชนและสิทธิของธรรมชาติเป็นเรื่องที่มีมิติคาบเกี่ยวกัน ดังนั้นจึงต้องทำความเข้าใจประเด็นที่ตัดข้ามกัน”
และสุดท้ายคือต้องสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็ง โดยชี้ว่า “ความร่วมมือที่หลากหลายและกว้างขวางจะช่วยขับประเด็นนี้ให้เคลื่อนออกไปไกลมากขึ้น เพราะมีทั้งนักเศรษฐศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ นักสังคมวิทยา นักศิลปะ นักสื่อสาร และนักเขียน มาร่วมด้วยช่วยกัน การนำเสนอความเข้าใจต่อความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศก็จะถูกนำเสนอในรูปแบบที่หลากหลายและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างมากขึ้น”

บทสนทนากับคุณกฤษฎา ครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการฉายภาพว่า TCJA ทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ตั้งรับปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างครอบคลุมบ้าง หากแต่นำพาไปไกลถึงการสะท้อนภาพความจริงและภาพความฝันของการทำงานประเด็นนี้ว่ามีอุปสรรคท้าทายและโอกาสใดบ้างที่ขวางกั้นและเป็นแรงขับ สุดท้ายบทเรียนที่สำคัญ ซึ่งคุณกฤษฎาขีดเส้นใต้มาตั้งแต่ต้นจนจบคือ ‘การเพ่งพินิจ climate change อย่างเข้าอกเข้าใจว่ากระทบต่อชีวิตผู้คนทุกกลุ่มอย่างไร’ และ ‘การสร้างพลังของเครือข่ายที่เข้มแข็งเพื่อร่วมมือกันสร้างผลกระทบที่กว้างขว้างให้ได้มากที่สุด เพราะ climate change มีมิติที่หลากหลายมาก’ สองเรื่องนี้จึงเป็นเสมือนใจความหลักของงานขับเคลื่อน climate justice ที่ไม่อาจลดทอนหรือถอดทิ้งไปจากกระบวนคิดและแนวปฏิบัติใดได้
อติรุจ ดือเระ – สัมภาษณ์และเรียบเรียง
แพรวพรรณ ศิริเลิศ – พิสูจน์อักษร
วิจย์ณี เสนแดง – ภาพประกอบ
● อ่านข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง
– ชวนจับตา 4 ประเด็นสำคัญการประชุม ‘COP28’ พร้อมสำรวจความกังวลต่อท่าทีเจ้าภาพในการยุติการใช้พลังงานฟอสซิล
– ไทยเตรียม 4 ข้อเสนอ ในการประชุม ‘COP 28’ พร้อมร่วมแก้ปัญหาโลกเดือดกับผู้นำโลก
– UN Women เผยภายในปี 2593 ‘ผู้หญิงและเด็กผู้หญิง’ จะตกอยู่ในความยากจน-ไม่มั่นคงทางอาหาร เหตุจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
– ‘Glasgow Climate Pact’ ข้อตกลงจากการประชุม COP26 ที่ยังคงเป้าหมายควบคุมอุณหภูมิโลก ‘1.5°C’ แต่ล้มเหลว ‘ยุติการใช้ถ่านหิน’
– แผนปรับตัวต่อ Climate Change แห่งชาติ มีประเด็นใดน่าสนใจบ้าง? ชวนสำรวจเป้าหมายและสาระสำคัญ
ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ
#SDG4 การศึกษาที่มีคุณภาพ
– (4.7) สร้างหลักประกันว่าผู้เรียนทุกคนได้รับความรู้และทักษะที่จาเป็นสำหรับส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมไปถึง การศึกษาสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนและการมีวิถีชีวิตที่ยั่งยืน สิทธิมนุษยชน ความเสมอภาคระหว่างเพศ การส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งความสงบสุขและการไม่ใช้ความรุนแรง การเป็นพลเมืองของโลก และความชื่นชมในความหลากหลายทางวัฒนธรรมและการที่วัฒนธรรมมีส่วนช่วยให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน ภายในปี พ.ศ. 2573
#SDG13 การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
– (13.1) เสริมภูมิต้านทานและขีดความสามารถในการปรับตัวต่ออันตรายและภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับภูมิอากาศในทุกประเทศ
– (13.2) บูรณาการมาตรการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในนโยบาย ยุทธศาสตร์และการวางแผนระดับชาติ
– (13.3) พัฒนาการศึกษา การสร้างความตระหนักรู้และขีดความสามารถของมนุษย์และของสถาบันในเรื่องการลดผลกระทบและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเตือนภัยล่วงหน้า
#SDG17 ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
– (17.17) สนับสนุนและส่งเสริมหุ้นส่วนความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาครัฐ-ภาคเอกชน และประชาสังคม สร้างบนประสบการณ์และกลยุทธ์ด้านทรัพยากรของหุ้นส่วน








