เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาระหว่างวันที่ 9 ถึง 13 มิถุนายน 2568 ในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยมหาสมุทรครั้งที่ 3 (3rd United Nations Ocean Conference : UNOC3) ณ เมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส มีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 15,000 คน พร้อมด้วยผู้นำรัฐบาลกว่า 60 ประเทศ เพื่อหารือเกี่ยวกับการดำเนินการตามกลไกพหุภาคีในการปกป้องและอนุรักษ์มหาสมุทร ทั้งในประเด็นสนธิสัญญาทะเลหลวง พื้นที่คุ้มครองทางทะเล การทำเหมืองใต้ทะเลลึก แนวปะการัง และมลพิษจากพลาสติก
มหาสมุทรมีพื้นที่ครอบคลุมกว่า 71% ของผิวโลก ทำหน้าที่เป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนขนาดใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญซึ่งประชากรโลกกว่า 3 พันล้านคนพึ่งพาโดยตรงในการดำรงชีวิต แต่ปัจจุบันด้วยอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น การคุ้มครองยังไม่เพียงพอ และการใช้ทรัพยากรทางทะเลอย่างเกินขอบเขตกำลังเป็นภัยคุกคามมหาสมุทรอย่างรุนแรง
แม้ในปี 2565 กว่า 190 ประเทศทั่วโลกจะร่วมรับรองกรอบความหลากหลายทางชีวภาพของโลกคุนหมิง-มอนทรีออล (Kunming-Montreal Global Biodiversity Framework :GBF) ที่มีเป้าหมายให้อนุรักษ์หรือฟื้นฟูพื้นที่บนบก แหล่งน้ำจืด พื้นที่ชายฝั่ง และทะเลอย่างน้อย 30% ภายในปี 2573 แต่ข้อมูลล่าสุดจากโครงการริเริ่มด้านมหาสมุทรเพื่อการกุศลของบลูมเบิร์ก มีเพียง 2.8% ของมหาสมุทรเท่านั้นที่ได้รับการคุ้มครองอย่างมีประสิทธิภาพ และมีเพียง 8% ของมหาสมุทรทั่วโลกที่ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่คุ้มครองทางทะเล (Marine Protected Areas :MPAs)
การอภิปรายในการประชุมครั้งนี้ มุ่งเน้นไปที่ประเด็นพื้นที่คุ้มครองทางทะเลและประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีความคืบหน้าในหลายด้าน ซึ่งสรุปประเด็นสำคัญ ได้ดังนี้
- สนธิสัญญาทะเลหลวง (High Seas Treaty) แม้ปัจจุบันจะมีถึง 136 ประเทศที่ลงนามในข้อตกลงสนธิสัญญาทะเลหลวง แต่ยังต้องการอย่างน้อย 60 ประเทศที่ให้สัตยาบันในสนธิสัญญา เพื่อให้ข้อตกลงมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ขณะนี้มีประเทศที่ให้สัตยาบันรวมทั้งสิ้น 50 ประเทศ ซึ่งหมายความว่ายังขาดอีก 10 ประเทศ เมื่อครบตามจำนวนแล้ว สนธิสัญญาจะมีผลบังคับใช้ภายใน 120 วัน นับจากวันนั้น
- พื้นที่คุ้มครองทางทะเล มีเพียงประมาณ 8% ของมหาสมุทรทั่วโลกที่ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่คุ้มครองทางทะเล ซี่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ภายในน่านน้ำของแต่ละประเทศ ขณะที่สนธิสัญญาทะเลหลวง เปิดทางให้สามารถจัดตั้งเขตคุ้มครองในทะเลหลวงได้ ซึ่งล่าสุดหมู่เกาะเฟรนช์โปลินีเซีย ได้ประกาศจัดตั้งพื้นที่คุ้มครองทางทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุมพื้นที่กว่า 5 ล้านตารางกิโลเมตร ทำให้จากพื้นที่ทั้งหมดนี้จะมีประมาณ 1.1 ล้านตารางกิโลเมตร ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่คุ้มครองอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งอนุญาตเฉพาะการประมงแบบดั้งเดิมของชาวชายฝั่ง การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น
- การทำเหมืองใต้ทะเลลึก สัปดาห์ที่ผ่านมามีเพิ่มเติมอีก 4 ประเทศ ที่ประกาศสนับสนุนการระงับหรือชะลอการทำเหมืองใต้ทะเลลึก ส่งผลให้ขณะนี้มีประเทศที่เรียกร้องให้ระงับกิจกรรมดังกล่าวรวมเป็น 37 ประเทศ ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ Emmanuel Macron ประธานาธิบดีของฝรั่งเศส ได้ประณามการทำเหมืองใต้ทะเลลึกและเรียกร้องให้มีการระงับกิจกรรมดังกล่าวทั่วโลก ซึ่งระบุว่านี่คือความจำเป็นในระดับนานาชาติ เพื่อตอบโต้ต่อนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ ที่กำหนดให้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ และหน่วยงาน เดินหน้าสำรวจและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในทะเลลึก ทั้งในและนอกเขตน่านน้ำของสหรัฐฯ
- แนวปะการัง การประชุมครั้งนี้มีการประกาศพันธสัญญาทางการเงินใหม่หลายฉบับ เพื่อเร่งฟื้นฟูและอนุรักษ์แนวปะการัง มี 11 ประเทศร่วมลงนามในคำมั่นสัญญาฉบับใหม่ในการปกป้องแนวปะการังที่ทนต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate resilient reefs) ซึ่งเป็นแนวปะการังที่มีโอกาสรอดสูงท่ามกลางภาวะโลกร้อน ขณะเดียวกันกลุ่มพันธมิตรระหว่างรัฐบาลและองค์กรการกุศล ได้แก่ นอร์เวย์ สหราชอาณาจักร นิวซีแลนด์ ฝรั่งเศส และเยอรมนี ได้ให้คำมั่นสนับสนุนเงินกว่า 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แก่กองทุนโลกเพื่อแนวปะการัง (Global Fund for Coral Reefs :GFCR) เพื่อเพิ่มการคุ้มครองและเสริมความแกร่งให้กับแนวปะการังราว 12% ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ทั่วโลก ภายในปี 2573
- มลพิษจากพลาสติก รัฐมนตรีและผู้แทนจากกว่า 95 ประเทศ ร่วมเรียกร้องให้มีการจัดทำสนธิสัญญาพลาสติกโลก (Global Plastic Treaty) หลังการเจรจาเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาต้องหยุดชะงักไป เนื่องจากปัจจุบันมีขยะพลาสติกมากกว่า 8 ล้านตันในแต่ละปีไหลลงสู่มหาสมุทร และพลาสติกส่วนใหญ่ไม่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ จึงสะสมอยู่ในทะเลและมหาสมุทรเป็นเวลานานหลายร้อยปี
อย่างไรก็ดี อีกข้อสังเกตที่น่าสนใจคือสหรัฐอเมริกาส่งเพียงผู้สังเกตการณ์เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้เท่านั้น ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ถอยห่างจากสถาบันพหุภาคีและการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ นับตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในต้นปีที่ผ่านมา
● อ่านข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง
– การประชุม Our Ocean Conference ครั้งที่ 10 บรรลุ 277 ข้อผูกพันใหม่เพื่อมหาสมุทรที่ยั่งยืน – มูลค่าถึง 9.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
– รัฐบาล-เอกชนทั่วโลก ผนึกกำลังขับเคลื่อน 410 ข้อผูกพัน เพื่อการพัฒนามหาสมุทรที่ยั่งยืน ในการประชุม Our Ocean Conference 2022
– ทั่วโลกหารือออนไลน์ เตรียมพร้อมการประชุม INC – 5.2 หวังให้สนธิสัญญาพลาสติกโลกก้าวหน้าและได้รับการรับรองจากประเทศต่าง ๆ มากที่สุด
– ทศวรรษแห่งสมุทรศาสตร์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนกับ 4 โซลูชันจากโครงการ Flagship ที่ออกสำรวจใต้ท้องทะเลลึก
– เสียงส่วนใหญ่ใน IUCN World Conservation Congress เห็นชอบห้ามทำเหมืองแร่ใต้ทะเลลึกชั่วคราว
– คุณภาพระบบนิเวศทะเลไทยอาจวิกฤติ หาก “ปัญหาขยะพลาสติกในทะเล” ยังไม่ถูกจัดการอย่างยั่งยืน
– SDG Insights | ขยะพลาสติกในทะเล: ความพยายามของภูมิภาคอาเซียน
ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ
#SDG13 การรับมือกับการเปลี่ยนเเปลงสภาพภูมิอากาศ
– (13.2) บูรณาการมาตรการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในนโยบาย ยุทธศาสตร์ และการวางแผนระดับชาติ
#SDG14 ทรัพยากรทางทะเล
– (14.1) ป้องกันและลดมลพิษทางทะเลทุกประเภทอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะจากกิจกรรมบนแผ่นดิน รวมถึงขยะทะเลและมลพิษจากธาตุอาหาร (nutrient pollution) ภายในปี 2568
– (14.2) บริหารจัดการและปกป้องระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืนเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบทางลบที่มีนัยสำคัญ รวมถึงโดยการเสริมภูมิต้านทานและปฏิบัติการเพื่อฟื้นฟู เพื่อบรรลุการมีมหาสมุทรที่มีสุขภาพดีและมีผลิตภาพ ภายในปี 2563
– (14.7) ภายในปี 2573 เพิ่มผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่รัฐกำลังพัฒนาที่เป็นเกาะขนาดเล็กและประเทศพัฒนาน้อยที่สุดจากการใช้ทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน รวมถึงการบริหารจัดการอย่างยั่งยืนในเรื่องการประมง การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และการท่องเที่ยว
– (14.a) เพิ่มความรู้ทางวิทยาศาสตร์ พัฒนาขีดความสามารถในการวิจัย และถ่ายทอดเทคโนโลยีทางทะเล โดยคำนึงถึงหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการถ่ายทอดเทคโนโลยีทางทะเลของคณะกรรมาธิการสมุทรศาสตร์ระหว่างรัฐบาล เพื่อจะพัฒนาคุณภาพมหาสมุทรและเพิ่มพูนให้ความหลากหลายทางชีวภาพในทะเลมีส่วนสนับสนุนการพัฒนาของประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งในรัฐกำลังพัฒนาที่เป็นเกาะขนาดเล็กและประเทศพัฒนาน้อยที่สุด
#SDG15 ระบบนิเวศบนบก
– (15.4) สร้างหลักประกันว่าจะมีการอนุรักษ์ระบบนิเวศภูเขาและความหลากหลายทางชีวภาพของระบบนิเวศเหล่านั้น เพื่อเพิ่มพูนขีดความสามารถของระบบนิเวศในการสร้างผลประโยชน์อันสำคัญต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ภายในปี พ.ศ. 2573
– (15.5) ปฏิบัติการที่จำเป็นและเร่งด่วนเพื่อลดการเสื่อมโทรมของถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติ หยุดยั้งการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และภายในปี พ.ศ. 2563 ปกป้องและป้องกันการสูญพันธุ์ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคาม
#SDG 17 ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
– (17.14) ยกระดับความสอดคล้องเชิงนโยบายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
– (17.16) ยกระดับหุ้นส่วนความร่วมมือระดับโลกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยร่วมเติมเต็มหุ้นส่วนความร่วมมือจากภาคส่วนที่หลากหลายซึ่งจะระดมและแบ่งปันความรู้ ความเชี่ยวชาญ เทคโนโลยี และทรัพยากรด้านการเงิน เพื่อจะสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกประเทศ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา
แหล่งที่มา : What Was Achieved at the UN Ocean Conference in France? (earth.org)