ผู้ชายมีลูกยากมากขึ้น หนึ่งในสาเหตุที่กระทบต่อฮอร์โมนเพศชายและสเปิร์มมาจากสารเคมีและสารพิษต่อสิ่งแวดล้อม

อนามัยเจริญพันธุ์ของผู้ชายทั่วโลกประสบกับปัญหาภาวะมีบุตรยาก (infertility) มาเป็นระยะเวลานานตั้งแต่ห้วงคริสต์ทศวรรษ 1990 การศึกษาในปี 1992 และการศึกษาในปี 2017 ต่างยืนยันว่า ปริมาณและความเข้มข้นของสเปิร์ม ซึ่งเป็นวิธีการประเมินภาวะมีบุตรยากของผู้ชายนั้น ลดลงประมาณ 50-60% การศึกษาในปี 2019 พบว่า ลักษณะการเคลื่อนตัวของสเปิร์มลดลงประมาณ 10% ในช่วง 16 ปีที่ผ่านมา ส่วนในกรณีของสหรัฐฯ ภาวะการมีบุตรยากพบได้ในคู่รักเกือบ 1 ใน 8 คู่

นักวิจัยและแพทย์พยายามศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีลูกยาก โดยพบว่ามีปัจจัยที่หลากหลายตั้งแต่โรคอ้วน ความไม่สมดุลของฮอร์โมน และโรคทางพันธุกรรม แต่ปัจจัยที่น่าห่วงกังวลมากขึ้น และเป็นไปได้ว่าอาจส่งผลให้ผู้ชายผลิตสเปิร์มได้น้อยลง หรือสเปิร์มที่ผลิตได้แข็งแรงน้อยลง มาจากการสัมผัสกับสารพิษต่อสิ่งแวดล้อม (environmental toxic exposure)

การศึกษา Impact of environmental toxin exposure on male fertility potential เน้นประเด็นศึกษาความเป็นไปได้ข้างต้น โดยโฟกัสที่ ‘สารรบกวนการทำงานของต่อมไร้ท่อ’ (Endocrine-Disrupting Chemicals: EDCs) ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาภาวะมีบุตรยาก ส่งผลต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพอารมณ์ ตัวอย่างเช่น

นอกจากสารพิษต่อสิ่งแวดล้อมที่มาจากตัวอย่างสารเคมีข้างต้น มลพิษทางอากาศในเมือง อาทิ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ ต่างก็มีผลต่อคุณภาพของสเปิร์มด้วยเช่นกัน และการสัมผัสกับรังสีจากคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ ยังส่งผลต่อปริมาณสเปิร์มที่ลดน้อยลง หรือทำให้สเปิร์มผิดปกติ/เสียรูปด้วย

Ryan P. Smith รองศาสตราจารย์ด้านโรคท่อปัสสาวะ มหาวิทยาลัย Virginia นำเสนอตัวอย่างสถานการณ์ด้านสารเคมีและกฎหมายว่าด้วยการควบคุมสารเคมีในสหรัฐฯ เอาไว้ว่า ปัจจุบัน มีสารเคมีกว่า 80,000 ชนิดที่จดทะเบียนในประเทศ และในทุก ๆ ปี จะมีสารเคมีใหม่เกือบ 2,000 ชนิดที่มีการประกาศใหม่ อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์มองว่าการทดสอบความปลอดภัยของสารเคมีที่มีต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมนั้นยังไม่ดีพอ โดยการพัฒนาและผลิตสารเคมีใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ในแง่หนึ่งก็เป็นความท้าทายอย่างยิ่งในการตรวจสอบความปลอดภัยและประเมินผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ในระยะยาว อีกทั้งสารเคมีจะถูกยกเลิกหรือนำออกจากตลาดการซื้อขายและใช้งานก็ต่อเมื่อพิสูจน์ได้ว่าเป็นอันตรายจริง และนั่นก็ต้องอาศัยเวลาในการพิสูจน์ความเสียหายเป็นระยะเวลาร่วมทศวรรษอยู่ดี ซึ่งในด้านกฎหมายของสหรัฐฯ ได้ยึดหลักการความบริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ว่ามีความผิด และยังเป็นกฎหมายควบคุมสารเคมีที่มีความรอบด้านและการควบคุมที่น้อยกว่ากฎหมายในลักษณะเดียวกันของสหภาพยุโรปด้วย

● อ่านบทความที่เกี่ยวข้องที่:
พลาสติกในของใช้ในบ้านอาจรบกวนระบบต่อมไร้ท่อและเป็นอันตรายต่อสุขภาพของเรา

ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ
#SDG3 สุขภาพและสุขภาวะที่ดี
-(3.7) การเข้าถึงบริการ ข้อมูล การให้การศึกษาเกี่ยวกับอนามัยเจริญพันธุ์โดยถ้วนหน้า รวมถึงการวางแผนครอบครัว และวางแผนเรื่องอนามัยเจริญพันธุ์ในยุทธศาสตร์และแผนงานระดับชาติ ภายในปี 2573
-(3.9) ลดจำนวนการตายและการป่วยจากสารเคมีอันตราย และจากการปนเปื้อนและมลพิษทางอากาศ น้ำ และดิน ให้ลดลงอย่างมาก ภายในปี 2573
#SDG11 เมืองที่ยั่งยืน
-(11.6) ลดผลกระทบทางลบของเมืองต่อสิ่งแวดล้อมต่อหัวประชากร โดยรวมถึงการให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อคุณภาพอากาศและการจัดการของเสียของเทศบาลและอื่น ๆ ภายในปี 2573
#SDG12 การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน
-(12.4) บรรลุการจัดการสารเคมีและของเสียทุกชนิดในวิธีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตลอดทั้งวงจรชีวิตของสิ่งเหล่านั้น ตามกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศที่ตกลงกันแล้ว และลดการปลดปล่อยสิ่งเหล่านั้นออกสู่อากาศ น้ำ และดินอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อที่จะลดผลกระทบทางลบที่จะมีต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด ภายในปี 2563

แหล่งที่มา:
Male fertility is declining – studies show that environmental toxins could be a reason (the conversation)

Last Updated on กันยายน 8, 2021

Author

  • Thiraphon Singlor

    Editor | อยากรู้ความคิดของคนต่างพื้นเพ ต่างสังคมและวัฒนธรรม สนใจความเป็นไปของโลก ความมั่นคง และการพัฒนา แล้วนำมาถ่ายทอดร้อยเรียงเรื่องราวเล่าให้ฟัง

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็นและรายละเอียดของท่านจะถูกเก็บเป็นความลับและใช้เพื่อการพัฒนาการสื่อสารองค์ความรู้ของ SDG Move เท่านั้น
* หมายถึง ข้อมูลที่จำเป็น