“แนวปะการังคือหม้อข้าวของเรา ถ้าเราทุบหม้อข้าวตัวเอง เราจะกินอะไร”
ประโยคข้างต้นมาจากพลังอันแรงกล้าของเอกพงษ์ เหมรา หรือ “บังเอก” ที่ SDG in Action ฉบับนี้ ชวนมาสนทนาสะท้อนชีวิตการทำงานอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล เขาคือหนึ่งในคนตัวเล็ก ๆ จากหมู่บ้านชายฝั่งอันดามัน ที่ลุกขึ้นมาทำหน้าที่ “ผู้พิทักษ์ปะการัง” ในนามของกลุ่มอาสาสมัคร Reef Guardian Thailand กลุ่มคนที่เชื่อว่าพลังชาวบ้านคือฟันเฟืองสำคัญในการปกป้องนิเวศทะเลไทย

01 – กลับบ้านเกิด ทำตามหัวใจ เติมเต็มพลังให้กลุ่มฯ
“Reef Guardian Thailand ไม่ใช่องค์กร ไม่ใช่ NGOs ไม่มีงบประมาณประจำ มีเพียงใจและแรงของผู้คนที่เชื่อว่าทะเลควรได้รับการดูแลอย่างแท้จริง เวลามีเหตุอย่างปะการังติดอวน เราก็รวมกลุ่มกันไปเก็บ ไม่ต้องรอใครสั่ง เพราะเราต้องอยู่กับทะเลทุกวันอยู่แล้ว”
บังเอก ตั้งต้นบทสนทนาด้วยการเล่าถึงตัวตนของ Reef Guardian Thailand ก่อนขยายความต่อว่ากลุ่มนี้เริ่มขึ้นด้วยการรวมตัวของชาวบ้านที่ทำอาชีพประมง ภายใต้ชื่อ Satun Reef Guardian แต่เมื่อเห็นว่างานอนุรักษ์ปกป้องทะเลนั้นกว้างขวางทั้งเชิงพรมแดนและผู้คน จึงเปลี่ยนชื่อเป็น Reef Guardian Thailand เพื่อรวบรวมผู้เข้าร่วมและสนับสนุนที่หลากหลายมากขึ้น จนถึงตอนนี้นับเนื่องมากว่า 20 ปีแล้ว มีคนมากมายเข้ามาร่วมด้วยช่วยเสริมกำลังของชาวบ้านในท้องถิ่น ทั้งนักวิชาการวิทยาศาสตร์ทางทะเล กรมอุทยาน ครูสอนดำน้ำ โรงเรียน รวมถึงผู้ประกอบการโรงแรมต่าง ๆ
อย่างไรก็ดี แม้ผูกพันกับ Reef Guardian Thailand ไม่น้อย แต่บังเอกก็ใช่หนึ่งในคนที่ตั้งไข่ให้กลุ่มนี้เกิดขึ้นแต่แรก หลังจากออกไปทำงานเป็นมัคคุเทศก์และครูสอนว่ายน้ำในที่ต่าง ๆ อยู่หลายขวบปี เมื่อตัดสินใจกลับบ้านเกิดเขาจึงถูกชักชวนจากมิตรสหายให้เข้าร่วมกลุ่ม ด้วยทั้งตัวและใจที่เติบโตมากับทะเล นั่นทำให้เขาไม่ลังเลที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ Reef Guardian Thailand และค่อย ๆ กลายเป็นกำลังขับเคลื่อนหลัก ทั้งกำลังคิดและกำลังมือ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนกิจกรรมเพื่อปกป้องแนวปะการัง เช่น การติดตั้งทุ่นลอยน้ำแทนการทิ้งสมอเรือที่ทำลายแนวปะการัง ซึ่งเริ่มต้นจากการระดมทุนเพียง 80,000 บาทจากคนในพื้นที่ ร้านดำน้ำ ไกด์ และอาสาสมัคร ก็นับเป็นงานริเริ่มที่เขาเองภูมิใจอยู่เสมอเมื่อเอ่ยทวนถึง

02 – ตั้ง “รับ” และ “รุก” งานอนุรักษ์ทะเลต้องตื่นตัวหลายทาง
บังเอก เท้าความว่าความกังวลที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจของชาวบ้านท้องถิ่นโดยเฉพาะกลุ่มที่ทำประมงและเป็นไกด์นำเที่ยวคือความกลัวว่าทรัพยากรทางทะเลอันงดงามที่โอบกอดและหล่อเลี้ยงชีวิตพวกเขามานานจะถูกทำลายลงด้วยคลื่นการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ค่อย ๆ ซัดโถมมาท้าทายอย่างยากจะหลีกเลี่ยง
นั่นเองเป็นเหตุผลที่กิจกรรมแรกซึ่งพวกเขาเลือกทำคือการสร้างความเข้าใจและตระหนักรู้แก่คนในท้องถิ่น ผ่านการสร้างความร่วมมือกับนักวิชาการจากภาครัฐ โดยคนแรก ๆ ที่เข้ามาเติมเต็มความรู้คือ ศุภพร เปรมปรีดิ์ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าหัวหน้าติ๋ว ซึ่งขณะนั้นเธอทำงานที่ศูนย์อุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 3 จังหวัดตรัง บังเอกเล่าว่า “วิธีการคือเราเชิญหัวหน้าติ๋วมาบรรยายเพื่อฉายภาพภัยคุกคามที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อทะเลสตูลบ้านเรา พร้อมกันนั้นก็มีตัวแทนคนรุ่นใหม่ไปร่วมทำงานในศูนย์ฯ กับเธอด้วย”
จากนั้น พวกเขาก็เริ่มส่งต่อความรู้ไปยังเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นต้นกล้าที่กำลังเติบโตในพื้นที่ บังเอกบอกว่าตนประทับใจกับการลงไปให้ความรู้ด้านการอนุรักษ์ทะเลกับเด็ก ๆ ที่โรงเรียนเกาะหลีเป๊ะและโรงเรียนบ้านเกาะอาดังเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากได้สื่อสารกับเด็กแล้วเขาคิดว่าเป็นการส่งต่อสารไปยังพ่อแม่ผู้ปกครองของพวกเขาอีกด้วย เพราะส่วนใหญ่คนเหล่านี้ทำงานและไม่มีเวลามาเข้าร่วมมากนัก อีกทั้งบางเรื่องพูดไปก็เหมือนไกลตัวเขา การส่งต่อสารผ่านเด็กจึงเป็นวิธีที่ละมุนละม่อมและค่อนข้างธรรมชาติพอควร
“เด็ก ๆ บนเกาะหลายคนไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับทะเลที่อยู่หน้าบ้านพวกเขามากนัก แน่นอนว่าอาจมีทักษะทางทะเลที่เก่งและคุ้นชินกับมัน แต่การรู้ถึงความสำคัญหรือรู้ว่ามีประโยชน์อะไรในระยะยาวกับชีวิตของเขานั้นยังน้อย” บังเอกเน้นย้ำ

การให้ความรู้สำหรับบังเอกแล้วมองว่าเป็นวิธีการเริ่มต้นที่ดี เขามองว่าถึงแม้ระยะแรก ๆ คนที่มาร่วมอาจไม่ได้รู้สึกร่วมหรืออินกับประเด็นที่นำเสนอมากนัก แต่แค่เขาได้มาฟัง มาช่วยทำนั่นทำนี่ ก็เชื่อว่าไม่นานจะเริ่มเข้าใจและผูกพันไปเอง อีกอย่างด้วยวิธีการสื่อสารที่เป็นกันเอง เข้าถึงง่าย เช่นแกนนำบังคนชอบบอกซ้ำ ๆ ว่าแนวปะการังมันเหมือนหม้อข้าวของเรา หากเราทุบหม้อข้าวตัวเองเราก็จะไม่มีอาชีพ ไม่มีงาน ซึ่งเมื่อทุกคนได้ยินแล้วก็เข้าใจและรู้สึก ในช่วงแรกอาจจะยังไม่เห็นแต่เมื่อเริ่มได้ไปทำเราก็จะเริ่มเห็น ซึ่งมันจะมีคนประเภทที่ถึงแม้จะมีก็ไม่ใช้ และเมื่อเจอกับตัวเองก็รู้สึกรับไม่ได้ รู้สึกโกรธ จากที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้มีความรู้สึกอะไรแบบนี้เลย
อีกหนึ่งภารกิจสำคัญที่ก่อตัวขึ้นในช่วงแรก ๆ ของ Reef Guardian Thailand คือการสร้างทุ่นลอยน้ำให้มีมากขึ้น เพื่อลดปัญหาการทิ้งสมอลงทะเลซึ่งสุ่มเสี่ยงที่จะทำลายปะการังและนิเวศแวดล้อม โดยโจทย์ท้าทายเดิมที คือเรือนำเที่ยวที่เพิ่มขึ้นแต่ทุ่นลอยน้ำที่มีให้ใช้ยังมีจำนวนจำกัด ครั้นจะพึ่งพิงความช่วยเหลือจากภาครัฐแต่เพียงทางเดียวก็เห็นกันว่ามีความล่าช้าและขั้นตอนที่ซับซ้อนยุ่งยาก สมาชิก Reef Guardian Thailand จึงเริ่มระดมทุนจากกลุ่มที่หลากหลาย ตั้งแต่ผู้ประกอบการโรงแรมบนเกาะหลีเป๊ะ ร้านดำน้ำ ครูสอนดำน้ำ ไกด์ และอาสาสมัคร จนได้เงินมาราว ๆ 80,000 บาท ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ถือว่าประสบความสำเร็จไม่น้อย โดยเฉพาะการได้ป้องกันปะการังเสียแต่ต้น เป็นการตัดไฟแต่ต้นลม ไม่ต้องมาวิ่งไล่รักษาทีหลังซึ่งอาจมีต้นทุนมากกว่าหลายเท่าตัว
จากกิจกรรมเชิงรับ Reef Guardian Thailand ก็เริ่มเสริมเติมด้วยกิจกรรมเชิงรุก บังเอกเล่าว่า “เมื่อทำกิจกรรมกันไประยะหนึ่ง กลุ่มของเราก็มีบทบาทในการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล โดยเฉพาะแถบจังหวัดสตูลอย่างเห็นได้ชัด เกิดเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจที่องค์กรจากภาคส่วน ๆ อื่นอยากเข้ามาสนับสนุนหรือร่วมงานด้วย จึงได้ขยับขยายจากการทำงานเชิงรับปรับสู่งานเชิงรุกมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในความร่วมมือสำคัญคือโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nation Development Programe) หรือ UNDP โดยมีกลไกหนึ่งที่ร่วมกันสร้างขึ้นมาอย่าง “ตาสัปปะรด” ให้ชาวบ้านและเยาวชนในพื้นที่เป็นหูเป็นตาและกระบอกเสียงที่สำคัญในการสำรวจตรวจสอบพฤติกรรมทำลายทะเล เช่น นักท่องเที่ยวให้อาหารปลา เรือทิ้งสมอ หรือนักท่องเที่ยวดำน้ำในจุดที่ห้ามดำ อะไรเหล่านี้จะถูกจดบันทึก นำส่ง และใช้มาตรการลงโทษเชิงป้องกัน
นอกจากนี้ยังมีการร่วมมือกับกลุ่มขับเคลื่อนที่เกี่ยวกับทะเลกลุ่มอื่น ๆ ในการหยิบยกบางประเด็นให้ประชาชนในพื้นที่อื่น ๆ ร่วมด้วยช่วยกัน โดยหนึ่งในกิจกรรมที่จุดกระแสได้คือการร่วมรณรงค์ในแคมเปญเรียกร้องให้ยกเลิกขายปลานกแก้วในห้างสรรพสินค้า ดังที่บังเอกเล่าว่า “ตอนนั้นไปบรรยายในงานหนึ่งที่ธรรมศาสตร์ แล้วมีคนติดต่อมาว่าอยากให้ Reef Guardian Thailand เป็นตัวตั้งตัวตีหลักในการทำแคมเปญนี้ได้ไหม ผมก็ตอบตกลงไป เพราะเห็นว่ามีประโยชน์และช่วยหยุดการล่าปลานกแก้วซึ่งเป็นห่วงโซ่ความหลากหลายทางชีวภาพของแนวปะการัง ทั้งปะการังเองก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เสียหายถ้าไม่มีปลาพวกนี้อยู่ในแนวปะการัง โอกาสที่สภาพแวดล้อมจะฟื้นตัวตามธรรมชาติก็จะน้อยมากหรือบางทีอาจไม่ฟื้นตัวเลย ผลคือใช้เวลาแค่สัปดาห์เดียวทุกห้างเลิกจำหน่ายปลานกแก้ว ซึ่งก็ประเมินแล้วว่าเขามีปลาเต็มตู้แค่ไม่ขายปลานกแก้วอย่างเดียวก็ไม่ได้กระทบอะไร และถือว่าเป็นโครงการที่ทำให้สังคมได้รับรู้และเกิดคำถามว่าทำไมไม่ควรกินปลานกแก้ว กระตุ้นให้คนไปศึกษาเยอะขึ้น”
03 – “คนละไม้ คนละมือ” สูตรสำเร็จแสนธรรมดา
การขับเคลื่อนงานทะเลไม่ว่าจะเชิงรุกหรือเชิงรับก็ต้องอาศัย “เงิน” และ “คน” เป็นส่วนขับเคลื่อน โจทย์นี้ไม่ใช่ปัญหามากนักในช่วงแรก ๆ ของการตั้งกลุ่ม เพราะมีทั้งเงินและคนที่เพียงพอ โดยความสำเร็จของการระดมคนและระดมทุนจากภาคส่วนที่หลากหลายไม่ใช่ความบังเอิญหรือโชคดีแต่อย่างใด บังเอกยืนยันว่าเขาและทีมแกนนำต้องไม่หยุดนิ่ง คิดหาทางตลอดว่าถ้าจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต้องอาศัยมือใครเข้ามาช่วยบ้าง
“อันดับแรกคือต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะคนที่เราจะไปขอทุน ต้องทำให้เขาเห็นว่าทุนที่ให้มาจะไม่สูญเปล่าและมีการดำเนินการจริง ๆ โดยสิ่งที่เราบอกว่าเราจะทำเราก็เขียนกันขึ้นมาเองและทำเป็นตัวเอกสาร ซึ่งส่วนใหญ่คนที่เราเข้าไปขอความช่วยเหลือ ก็จะรู้จักกันส่วนตัวอยู่แล้วด้วย สมมติว่าผมรู้จักใครกี่คนผมก็ไปหาคนที่ผมรู้จัก ไกด์ที่ทำงานกับบริษัทนี้ หรืออยู่ประจำโรงแรมนี้ เขาก็ไปหาเถ้าแก่ของเขา ใครรู้จักใครก็ไปหาคนนั้น ซึ่งบางทีได้เป็นข้าวกล่อง น้ำดื่ม เงิน หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ซึ่งเรารับหมด หรือหากไม่มีอะไรก็สามารถพาตัวมาร่วม ผลคือเมื่อเรารับเงินหรือของมา แล้วทำจริงก็กลายเป็นภาพจำว่าเราน่าเชื่อมั่นน่าเชื่อถือได้ เพราะเห็นผลงานเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา คนให้จึงไม่ได้มีข้อสงสัยอะไรและอยากที่จะช่วยเหลือ” บังเอกเล่า
ภาคเอกชนที่สนับสนุนทุนและทำงานร่วมกับกลุ่มบ่อยครั้งคือบริษัทหาดทิพย์ โดยบังเอกบอกว่า “ทำงานร่วมกันมากว่า 5 ปีแล้ว โดยหลัก ๆ ก็จะเน้นโครงการ/กิจกรรมจัดการขยะทางทะเล เมื่อทำเสร็จก็ถ่ายรูปส่งให้เขา เพื่อยืนยันว่าทำจริง แต่เราไม่ได้เอาไปโปรโมตใด ๆ หรือคิดว่าเป็นโครงการของเขา และเอาเข้าจริง ๆ เราไม่ได้ร่วมงานกับทุกบริษัทที่เขามา เพราะเราก็เลือก อย่างหาดทิพย์นี่เขามีความชัดเจนว่าจะเข้ามาทำจริง ๆ คนที่เข้ามาประสานงานก็บอกชัดแต่ต้นว่าไม่ได้เข้ามาเพราะจะทำ CSR หรืออีเวนต์แบบเอาผ่าน ๆ แต่จะช่วยแบบจริงจัง แบบนี้รู้สึกเข้ากันกับเราได้”
นอกจากนี้ หากมองมุมของผลที่เกิดต่อตัวสมาชิกของกลุ่มเอง บังเอกชี้ว่า “การที่แต่ละคนได้ลงมาทำงาน มาดูแลทะเล ก่อให้เกิดความรู้สึกหวงแหนมากขึ้น เพราะเราใช้เวลากับประเด็นเยอะ คิดทำและวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้ โดยแต่ละคนที่เค้าช่วยได้แล้วเราก็ให้พื้นที่สำหรับคนที่อยากมีส่วนร่วม ณ ตอนนั้น ว่าคุณถนัดอะไร คุณเก่งเรื่องไหน คุณเก่งเรื่องกราฟิกคุณก็ทำกราฟิก คุณเก่งเรื่องนี้คุณก็มาร่วมในเรื่องนี้ ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนไม่สามารถที่จะมาร่วมได้ทั้งโครงการ แต่ก็สามารถทำในสิ่งที่สามารถทำได้ เป็นการเปิดพื้นที่ให้หลากหลายตามความถนัดและสนใจ”
04 – ถึงวันที่คลื่นทุนหนุนไม่แน่นอน พร้อมปรับตัวเพื่อต่อลมหายใจให้ทะเล
“แรงผลักดันไม่ได้มาจากเงินหรือชื่อเสียง แต่เป็นความเข้าใจลึกซึ้งว่า ทะเลไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของเราทุกคน และหากใครไม่ลงมือทำ อาจไม่มีทะเลให้ลูกหลานรุ่นต่อไปได้รู้จักอีกเลย”

คำกล่าวข้างต้นเน้นย้ำถึงอุดมการณ์และความมุ่งมาดปรารถนาอันแรงของบังเอกและสมาชิก Reef Guardian Thailand ได้เป็นอย่างดี พวกเขาทุ่มแรงกายและแรงใจในการทำสิ่งที่เรียกว่าอาสาสมัคร ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้มีเงินตราหรือความมั่งคั่งเป็นสิ่งตอบแทน แต่พวกเขาสายตายาวมองการณ์ไกล รู้ว่าหยาดเหงื่อที่ยอมเหนื่อยนั้นจะช่วยรักษาทะเลให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้ใช้ประโยชน์ต่อ
อย่างไรก็ดี แม้ศรัทธาแห่งความรักต่อท้องทะเลจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ด้วยสถานะของกลุ่มที่ไม่ได้จัดตั้งเป็นสมาคมหรือมูลนิธิ เป็นเพียงภาคประชาชนที่อำนาจต่อรองในเชิงทางการไม่ได้มีมาก ก็นับว่าเป็นความท้าทายต่อความมั่นคงรายวันไม่น้อย บังเอกเล่าถึงอุปสรรคตรงนี้ว่า “ทำกันไปหลายปีสมาชิกหลายคนก็เริ่มออกเรือนมีครอบครัวที่ต้องดูแล ประกอบกับงานไกด์พักหลังมานี้ก็ลดน้อยลงเพราะรูปแบบการท่องเที่ยวเปลี่ยนไป คนมาเที่ยวได้ด้วยตัวเองมากขึ้นไม่ต้องพึ่งไกด์ เช่นนั้นเอง แม้ใจอยากสละเวลามาช่วยงานของกลุ่มแต่ต้องยอมรับว่าหลายครั้งก็ทำได้ยากขึ้นเพราะต้องทุ่มเวลาให้กับงานหลักที่จะเลี้ยงดูปากท้องครอบครัวให้ได้ด้วย ถึงตอนนี้ก็ไม่ปฏิเสธว่าความเข้มข้นหรือคึกคักของการทำกิจกรรมของกลุ่มลดน้อยถอยลงไปมาก”
ความท้าทายเรื่องปัจจัยยังชีพแม้ยากเกินควบคุม แต่ก็ไม่ได้ฉุดรั้งให้บังเอกสิ้นหวังไปเสียทีเดียว เขาพยายามครุ่นคิดหาทางออกทั้งปรึกษาสมาชิกในกลุ่มและผู้มีประสบการณ์จากองค์กรหรือหน่วยงานอื่น ๆ จนได้ข้อสรุปว่าถึงเวลาแล้วที่ Reef Guardian Thailand ควรจดตั้งเป็นนิติบุคคล อาจเป็นสมาคมที่สามารถต่อรองในเชิงการจัดการและสามารถเอื้ออำนวยความสะดวกในการจัดหาทุนและสนับสนุนสมาชิกได้มากขึ้น
“ถ้ามีทุนที่มั่นคงก็จะช่วยให้เราต่อยอดโครงการต่าง ๆ ที่ริเริ่มมาได้อย่างยั่งยืน ตัวอย่างเช่นโครงการที่ทำร่วมกับ UNDP ซึ่งกล่าวไปแล้วเบื้องต้น นับว่าเป็นโครงการที่มีประโยชน์มาก ๆ แต่เมื่อสิ้นสุดสัญญา ก็น่าเสียดายที่เราไม่สามารถหางบประมาณมาทำต่อ ขณะที่ทางเลือกอย่างการขอสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐนั้นมีความซับซ้อนและยุ่งยากอย่างที่ว่าอยู่มาก” บังเอกเปิดใจและกล่าวต่อว่า “อีกอย่างการมีเงินทุนช่วยให้เราสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกับชาวบ้านได้มากขึ้น เพราะเมื่อไรที่เอ่ยปากชวนพวกเขามาร่วมโครงการหรือกิจกรรม ถ้าสัญญาไว้แล้วว่าจะจัดก็ต้องจัดให้ได้ แน่นอนว่าถ้าไม่มีทุนสำรองหวังแต่น้ำบ่อหน้าจากการสนับสนุนขององค์กรอื่น ๆ อาจทำให้เราผิดสัญญาได้ เรื่องนี้สำคัญมาก ถ้าความเชื่อมั่นถูกพังลงแค่ครั้งเดียวก็กระทบกับอนาคตของการขับเคลื่อน”

05 – งานขับเคลื่อนจะยั่งยืนต้องพึ่งทั้งมือรัฐและประชาชน
“เราไม่ใช่คนดีไปกว่าคนอื่น แค่เราเลือกจะทำหน้าที่ในบ้านของเราให้ดีที่สุด เท่านั้นเอง”
บังเอกเปิดประโยคเมื่อถูกถามว่ามีสารใดอยากฝากถึงเพื่อนคนทำงานปกป้องทะเลด้วยกันบ้าง ก่อนกล่าวต่อว่า “คนทำงานทะเลต้องเช็กความถูกต้องของสิ่งที่ทำด้วย เพราะเดี๋ยวนี้เรานำเสนอสิ่งต่าง ๆ ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ในฐานะเป็นกลุ่มหรือแกนนำที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมสามารถโน้มน้าวหรือเป็นตัวแบบให้คนทั่ว ๆ ไปเขาทำตามได้ ถ้าดูแลทะเลแบบผิดวิธี ก็อาจส่งผลกระทบในวงกว้างให้คนเชื่อหรือเอาไปทำตามแบบผิด ๆ”
บังเอกยังเน้นย้ำว่าการทำงานทะเลไม่ใช่เรื่องแฟชั่นหรือ CSR แต่อยากให้ทำกันอย่างเอาจริงเอาจัง และยึดพื้นฐานของวิชาการประกอบด้วย โดยควรทำงานร่วมกับภาคส่วนที่หลากหลายตามความถนัด แม้การฉายเดี่ยวอาจทำให้สิ่งที่หวังเกิดได้เร็ว แต่การทำร่วมกับคนอื่น ๆ จะช่วยให้ยั่งยืนมากกว่า เช่นหากทำงานร่วมกับภาครัฐก็ควรแบ่งบทบาทเติมเต็มกันฝั่งละครึ่ง เพราะหากอาสาสมัครมีบทบาทมากเกินไปก็จะเริ่มทำอะไรตามใจตัวเองมากเกิน โดยสรุปคิดว่ากลุ่มอาสาสมัครรุ่นใหม่ที่กำลังลุกขึ้นมาทำงานอนุรักษ์ทะเลอาจต้องคิดถึง การทำงานว่าต้องอยู่บนฐานของวิชาการจริง ต้องถ่อมตัว และรู้ว่าตัวเองก็ยังต้องเรียนรู้เสมอ
อย่างไรก็ตาม บังเอกแสดงความกังวลต่อวิธีการของภาครัฐเช่นกันว่า “หลายครั้งที่คุยกับนักวิชาการหรือหน่วยงานรัฐ ก็รู้สึกขึงตึงเกินไป ถ้าเขาบอกว่าอะไรทำไม่ได้ก็คือไม่ได้เลย ไม่มีความยืดหยุ่นผ่อนปรน ตรงนี้อาจกดดันหรือทำให้ชาวบ้านเครียดมากขึ้น ทางที่ดีคือควรเปิดพื้นที่ให้มีการทดลองวิธีการต่าง ๆ หรือแนวทางต่าง ๆ ในการมีส่วนร่วมอนุรักษ์ เช่นโครงการพัฒนาอุทยานแห่งชาติตะรุเตา มีพื้นที่จำนวนมากที่จะพัฒนา ก็สามารถแบ่งสรรปันส่วนมาให้ได้ทดลองแนวทางต่าง ๆ ได้ และอีกอย่างการมั่นสัญญาว่าจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ก็อยากให้เกิดขึ้นจริง เพราะคนที่เข้ามาทำงานถึงแม้เป็นอาสาสมัครแต่เขาก็มีความรู้สึกรับรู้ ถ้าประชุมกันแล้ว ขยับขับเคลื่อนหรือทำจริงไม่ได้ ไม่มีอะไรที่จะพาคนที่พร้อมจะช่วยพัฒนา เขาก็เบื่อเหมือนกันกับการแค่ได้ไปนั่งห้องแอร์ กินกาแฟฟรี แล้วก็แยกย้ายกลับ เพราะไม่นำไปสู่ผลอะไรที่มันจะเกิด นี่คือปัญหาของบ้านเรา”
06 – สื่อสารให้เป็น และ “กันดีกว่าแก้”
เรื่องทะเลเป็นเรื่องที่ต้องทำต่อเนื่องและอาศัยกำลังคนรุ่นแล้วรุ่นเล่า แต่การทำงานขับเคลื่อนก็ต้องมีวิธีที่คำนึงถึงหลาย ๆ ปัจจัยประกอบเช่นกัน สอดคล้องกับวิธีคิดของบังเอกที่มองว่าการอนุรักษ์ที่แท้จริงคือการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า ไม่ใช่ห้ามทุกอย่าง แต่หาวิธีที่ ‘อยู่ร่วม’ ให้ได้

บังเอก ขยายความว่า “จากประสบการณ์ส่วนตัว ผมคิดว่าคนทำงานอนุรักษ์ทะเลไม่ใช่นักสื่อสารแต่เดิม แม้มีความรู้หรือประสบการณ์เยอะแต่ก็ต้องมีวิธีหรือกลยุทธ์ในการสื่อสารเช่นกัน เพราะคนรับสารนั้นหลากหลายและไม่ได้มีข้อมูลเท่าที่เรามี จะพูดเรื่องไหนก็ต้องดูด้วยว่าเหมาะกับคนฟังไหมหรือทำอย่างไรให้เข้าใจง่าย ไม่คลาดเคลื่อน แต่ถ้าสื่อสารกับคนในพื้นที่ ก็จะเป็นอีกแบบ เหมือนผมเองจะได้เปรียบเพราะสามารถสื่อสารกับเขาด้วยภาษาท้องถิ่นและศัพท์แสงต่าง ๆ ก็ย่อยให้ง่ายได้ ในทางกลับกันถ้าใช้ศัพท์ยาก ๆ มาโน้มน้าว ถึงแม้จะมีเป้าประสงค์ดี ก็อาจกลายเป็นปัญหาได้ ยกตัวอย่างเช่นจะอธิบายให้เห็นภาพว่าทะเลกับโลกสัมพันธ์กันอย่างไรด้วยการบอกว่าทะเลสร้างโอโซนให้กับโลกอย่างนั้นอย่างนี้คือมันจับต้องไม่ได้ มันดูห่างไกลจากตัวของชาวบ้านหรือคนทั่วไป”
“ต้องเริ่มจากที่สมมุติถ้าเราจะโฟกัสเอาตรงที่เกี่ยวข้องเป็น stakeholder ของทะเลจริง ๆ แล้วก็วิ่งเข้าหาคนเหล่านั้น ทำความเข้าใจสื่อสารกับพวกเขาไม่ต้องเอาคนทั้งประเทศหรือว่าคือให้มันตรงจุดตรงประเด็น หลังจากนั้นเดี๋ยวมันก็จะค่อย ๆ ไปเองเหมือนที่ผมทำแรก ๆ คือถ้าเราสนใจแต่คนที่คิดเหมือนเรา เราก็จะไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าเราไปหาคนที่รู้จัก คนที่เขาดีกับเราพร้อมจะช่วยเหลือเรา ถึงแม้เค้าไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจอะไรแต่พอลากเขามาได้ให้มีส่วนร่วมเล็กน้อยเค้าก็จะเริ่มคิดขึ้นมา พอเริ่มได้นั่งฟัง ผมเห็นประโยชน์จากกลุ่มเล็กๆ เค้าก็ไปขยายได้ เรื่องการสื่อสารมันเลยเป็นอะไรที่ถ้าเราหาคอนเทนท์ที่ง่ายเรียบง่ายให้มันตรงประเด็นไม่ได้”
นอกจากเรื่องการสื่อสารแล้ว บังเอกยังย้ำว่าการดูแลทะเลเชิงป้องกันนั้นคุ้มและดีกว่าการมาตามแก้ปัญหาทีหลังมาก เพราะการป้องกันมีต้นทุนต่ำและทำได้ง่ายกว่า และหลายความท้าทายก็สามารถคาดการณ์เพื่อรับมือได้ เช่น ถ้าป้องกันเรือทิ้งสมอก็ต้องทำทุ่น แค่นี้เอง ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน แต่การทำสิ่งพวกนี้ก็ต้องอาศัยทรัพยากรการเงินและทรัพยากรบุคคล เช่นนั้นเองเจ้าหน้าที่รัฐที่มีอยู่ในมือก็อยากให้จัดสรรมาทำในเรื่องการป้องกันอย่างเพียงพอด้วย

บทสนทนากับบังเอกเกือบค่อนชั่วโมงฉายภาพเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับการทำงานเพื่อท้องทะเลไทย ทั้งความหวัง ความจริง เเละอุปสรรคท้าทาย เเม้เป็นเพียงเรื่องราวของคนกลุ่มเล็ก ๆ เเต่สะท้อนภาพเเทนของการทำงานภาคประชาชนเพื่อทะเลไม่น้อย เเละไม่อาจปฏิเสธได้ว่านี่คือความพยายามเเละศรัทธาเเรงกล้าที่กำลังเดินไปพร้อมกับขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อทะเลในที่อื่น ๆ ทั่วโลก บนเส้นทางสู่การบรรลุ SDGs ในอีก 5 ปี ข้างหน้า โดยเฉพาะเเก่เป้าหมายที่ 14 ทรัพยากรทางทะเล ซึ่งมีโจทย์คิดร่วมสมัยมากมาย ตั้งเเต่ผลกระทบจากโลกรวน ประมงทำลายล้าง ไปจนถึงการกัดเซาะชายฝั่ง ท่ามกลางวิกฤติเเละความไม่เเน่นอนเช่นนี้ Reef Guardian Thailand จึงเป็นอีกหนึ่งเเรงขับที่จะช่วยต่อลมหายใจให้ทะเลไทยเเละโลก
อติรุจ ดือเระ – สัมภาษณ์และเรียบเรียง
แพรวพรรณ ศิริเลิศ – พิสูจน์อักษร
วิจย์ณี เสนแดง – ภาพประกอบ
● อ่านข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง
– หลายพื้นที่ทั่วโลกประสบ สภาวะ ‘ปะการังฟอกขาว’ ครั้งใหญ่ เหตุจากภาวะโลกร้อน-กระทบต่อระบบนิเวศ
– Allen Coral Atlas แพลตฟอร์ม-แผนที่ดาวเทียมแสดงสุขภาวะของแนวปะการังร่องตื้นที่รอบด้านที่สุดครั้งแรก
– รายงานสถานะแนวปะการังจากข้อมูล 40 ปี พบว่า โลกสูญเสียแนวปะการังไปถึง 14% ภายในช่วงแค่สิบปีที่ผ่านมา
– Florida Coral Rescue Center ใช้ห้องแลปหาสาเหตุโรคระบาด SCTLD ที่ทำลายแนวปะการังในฟลอริดาและแถบแคริบเบียน
– SDG Updates | ท่ามกลางคราบน้ำมัน และ Climate Change: ทะเลและมหาสมุทรยังเป็นความหวังใหม่
– ไทยเผชิญปรากฏการณ์ ‘ปะการังฟอกขาว’ ครั้งใหญ่ พบปะการังตายกว่า 40% เหตุโลกร้อน-น้ำทะเลเดือด
ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ
#SDG13 การรับมือกับการเปลี่ยนเเปลงสภาพภูมิอากาศ
– (13.1) เสริมภูมิต้านทานและขีดความสามารถในการปรับตัวต่ออันตรายและภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับภูมิอากาศในทุกประเทศ
#SDG14 ทรัพยากรทางทะเล
– (14.1) ป้องกันและลดมลพิษทางทะเลทุกประเภทอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะจากกิจกรรมบนแผ่นดิน รวมถึงขยะในทะเลและมลพิษจากธาตุอาหาร (nutrient pollution) ภายในปี พ.ศ. 2568
– (14.2) บริหารจัดการและปกป้องระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืนเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบทางลบที่มีนัยสำคัญ รวมถึงโดยการเสริมภูมิต้านทานและปฏิบัติการเพื่อฟื้นฟู เพื่อบรรลุการมีมหาสมุทรที่มีสุขภาพดีและมีผลิตภาพ ภายในปี 2563
– (14.5) ภายในปี พ.ศ. 2563 อนุรักษ์พื้นที่ทางทะเลและชายฝั่งอย่างน้อยร้อยละ 10 โดยให้เป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศและภายในประเทศ และอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุดที่มีอยู่
#SDG17 ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
– (17.17) สนับสนุนและส่งเสริมหุ้นส่วนความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาครัฐ-ภาคเอกชน และประชาสังคม สร้างบนประสบการณ์และกลยุทธ์ด้านทรัพยากรของหุ้นส่วน
Last Updated on มิถุนายน 25, 2025