ธัญนันท์ ดาวดึงษ์
#SDGMoveIntern2025
ในช่วงปี 2567 ที่ผ่านมารัฐบาลไทยได้ผลักดันนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวตลอดปี เช่น นโยบาย 365 วัน เมืองไทยเที่ยวได้ทุกวัน หรือนโยบายส่งเสริม 55 เมืองรองและเมืองน่าเที่ยวเพื่อกระจายรายได้สร้างความหลากหลายของการท่องเที่ยวในประเทศไทย และในปี 2568 นี้ ยังมีนโยบายเที่ยวคนละครึ่งเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศทั้งเมืองหลักและเมืองรองเป็นนโยบายขับเคลื่อนสำคัญอีกด้วย
นอกจากนโยบายเหล่านี้แล้วยังมีอีกหนึ่งม้ามืดอันเป็นกลไกเบื้องหลังที่ขับเคลื่อนการเติบโตของการท่องเที่ยวภายในประเทศไทยอยู่ คือนโยบายการพัฒนาและสนับสนุนการท่องเที่ยวโดยชุมชนที่ได้รับความนิยมและเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่แพ้การท่องเที่ยวกระแสหลัก โดยอยู่ภายใต้แนวคิดการท่องเที่ยว ผลิต และบริโภคอย่างยั่งยืนอีกด้วย
01 — ความแตกต่างระหว่างการท่องเที่ยวโดยชุมชนกับการท่องเที่ยวทั่วไป
หากถามว่าการท่องเที่ยวโดยชุมชนแตกต่างจากการท่องเที่ยวทั่วไปอย่างไร
คำตอบที่สั้นและได้ใจความที่สุดคงเป็น “ยั่งยืนกว่า”
การท่องเที่ยวโดยชุมชน ตามนิยามขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หมายถึง การท่องเที่ยวทางเลือกที่บริหารจัดการโดยชุมชนอย่างสร้างสรรค์ และมีมาตรฐานก่อให้เกิดการเรียนรู้ เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมท้องถิ่น และคุณภาพชีวิตที่ดี [1] โดยมีหลักการสำคัญคือ การเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ชุมชนเป็นเจ้าของ ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ มีความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและคงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ผลตอบแทนเป็นธรรม และมีการกระจายรายได้ ลักษณะการดำเนินงานประกอบไปด้วยหลายขั้นตอน โดยแรกเริ่มจะมีการสำรวจศักยภาพและความพร้อมของชุมชนในการพัฒนา จากนั้นจึงริเริ่มสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อสร้างความเข้าใจและจัดตั้งชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน วางแผนการพัฒนา ลงมือปฏิบัติ ประเมินผล และปรับปรุงแก้ไข โดยปัจจุบันมีสำนักท่องเที่ยวโดยชุมชนเป็นตัวกลางในการประสาน ส่งเสริม และสนับสนุน ทั้งหมดนี้เป็นกลไกที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้การท่องเที่ยวมาเป็นส่วนช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน
เมื่อเปรียบเทียบกับการท่องเที่ยวทั่วไปแล้ว การท่องเที่ยวโดยชุมชนจึงเป็นทางเลือกที่มีผลดีต่อชุมชนในระยะยาวมากกว่าในหลายด้าน
ด้านเเรกคือ ‘สังคม’ การท่องเที่ยวโดยชุมชนนั้นเน้นการชูอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชนต่าง ๆ มาเป็นจุดขายแต่ยังไม่ละทิ้งพร้อมทั้งสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชน ทำให้ผู้คนเข้าใจถึงแก่นแท้และเห็นคุณค่าของอัตลักษณ์ท้องถิ่นนั้น ๆ ในขณะที่การท่องเที่ยวโดยทั่วไปมีแนวโน้มสูงกว่าที่จะลบเลือนอัตลักษณ์ดังกล่าวและปรับเปลี่ยนพื้นที่ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวตามกระแสนิยมที่อาจไม่คงอยู่ตลอดไปโดยขาดการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของชุมชน ทั้งหมดนี้อาจนำไปสู่การจางหายของวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อกันมาในอดีตรวมไปถึงการลดระดับความสำคัญของวิถีชีวิตดั้งเดิมอันมีคุณค่าของคนในพื้นที่ด้วย
ด้านต่อมาคือ ‘สิ่งแวดล้อม’ ปัจจุบันการท่องเที่ยวโดยชุมชนมีเกณฑ์มาตรฐานการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชนที่ได้รับการพัฒนาให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล (GSTC-Recognized Standard) ที่ครอบคลุมถึงการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบอย่างยั่งยืน เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนา ประเมินจุดอ่อนจุดแข็ง และส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรโดยชุมชนเอง ในขณะที่การท่องเที่ยวโดยทั่วไป จะยึดการประเมินตามมาตรฐานสากล (Global Sustainable Tourism Council Criteria: GSTC Criteria) หรือกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่แม้มีมาตรฐานในการจัดการใกล้เคียงกันแต่อาจประสบปัญหาเรื่องความยืดหยุ่นในการปรับใช้กับการท่องเที่ยวระดับท้องถิ่นในประเทศได้
ด้านสุดท้ายคือ ด้านเศรษฐกิจ อันเป็นประเด็นที่น่าจับตามองในปัจจุบัน เพราะในปี 2567 การท่องเที่ยวโดยชุมชนทำรายได้จากการท่องเที่ยวโดยชุมชนในพื้นที่พิเศษกว่า 112.339 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ในปี 2566 ที่ 62.517 ล้านบาท แล้ว พบว่าการท่องเที่ยวโดยชุมชนนั้นมีอัตราการเติบของรายได้สูงถึงร้อยละ 79.69 [2] ซึ่งถึงแม้จะยังไม่ใช่สัดส่วนที่มากนักสำหรับรายได้รวมจากการท่องเที่ยวของประเทศในปี 2567 ที่อยู่ที่ 2.62 ล้านล้านบาท [3] แต่ก็ถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่น่าสนใจ นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบในด้านของการกระจายรายได้แล้วพบว่า ถึงแม้ตัวเลขรายได้จากการท่องเที่ยวโดยชุมชนจะน้อยกว่ารายได้จากการท่องเที่ยวโดยทั่วไป แต่รายได้เหล่านั้นจะเข้าสู่ชุมชนโดยตรง ในขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยวทั่วไปโดยส่วนใหญ่จะเข้าสู่กลุ่มทุนท่องเที่ยว [4] อันนำไปสู่ความไม่เท่าเทียมทางรายได้ ตัวอย่างเช่น ในจังหวัดเชียงรายที่เห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของรายได้จากการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ความไม่เท่าเทียมของรายได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย [5] นั่นเอง
อาจกล่าวได้ว่าการท่องเที่ยวโดยชุมชนนั้นส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงจากการที่ชุมชนมีส่วนร่วมและมีอำนาจในการตัดสินใจได้มากกว่าการท่องเที่ยวโดยทั่วไปนั่นเอง
02 — แม่กำปอง: บทเรียนและต้นแบบของการท่องเที่ยวโดยชุมชน
การท่องเที่ยวโดยชุมชนนั้นยังคงมีประเด็นที่น่าเป็นห่วงอย่างอัตราการเติบโตที่รวดเร็วดังที่ได้กล่าวไว้เมื่อในการเปรียบเทียบด้านเศรษฐกิจ จึงนำไปสู่คำถามที่ว่า ชุมชนจะสามารถรับมือและปรับตัวให้เข้ากับการท่องเที่ยวในพื้นที่ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วได้หรือไม่ และแต่ละภาคส่วนมีมาตรการรับมืออย่างไร
เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น จึงขอยกตัวอย่างแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชนที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ซึ่งคือ หมู่บ้านแม่กำปอง จังหวัดเชียงใหม่ นั่นเอง
หมู่บ้านแม่กำปองเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ท่ามกลางหุบเขาในอำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพื้นที่ที่มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์และมีอากาศเย็นสบายตลอดปี ในอดีต อาชีพหลักของผู้คนในแม่กำปอง คือการปลูกเมี่ยง แต่แล้ว “ป้อหลวง” ธีรเมศร์ ขจรพัฒนภิรมย์ ก็ได้ริเริ่มพัฒนาหมู่บ้านแห่งนี้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศด้วยจุดประสงค์ที่ว่าต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน ทั้งด้านทรัพยากรมนุษย์ ด้วยการสร้างอาชีพ รวมไปถึงพัฒนาด้านการท่องเที่ยวโดยอาศัยทรัพยากรชุมชนและธรรมชาติเป็นพื้นฐาน จนในที่สุด หมู่บ้านแม่กำปองก็ได้รับการรับรองมาตรฐานโฮมสเตย์และเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ประกอบกับการส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานและการประชาสัมพันธ์จากภาครัฐ ทำให้หมู่บ้านแม่กำปองเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและสำคัญของจังหวัดเชียงใหม่สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสวิถีชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ท่ามกลางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์และผู้คนที่มีอัธยาศัยดีในที่สุด
แต่ในเส้นทางที่ผ่านมาก็ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป ด้วยชื่อเสียงและการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น หมู่บ้านแม่กำปองจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาที่ตามมาพร้อมทั้งหามาตรการการรับมือในระหว่างทางด้วย
ในช่วงแรกของการพัฒนานั้น หมู่บ้านพบปัญหาที่ว่าชาวบ้านนั้นยังขาดความรู้ด้านการบริหารจัดการการท่องเที่ยว การดูแลรักษาผลประโยชน์ และขาดความตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติและวิถีชีวิตท้องถิ่น จึงมีการอบรม ขอทุนทำงานวิจัย และให้ความรู้แก่ชาวบ้านพร้อมทั้งสร้างระบบการจัดการผลประโยชน์ที่ปัจจุบันถูกควบคุมดูแลอยู่ในรูปแบบของสหกรณ์และการให้สวัสดิการ
ส่วนของระยะหลังจากนั้น เมื่อหมู่บ้านเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมย่อมมากขึ้นตามไปด้วย จึงทำให้เกิดปัญหานักท่องเที่ยวล้นและความแออัด ปัญหาการจราจร ปัญหาการรักษากฎระเบียบ รวมไปถึงความกังวลเรื่องการแทรกซึมของกลุ่มทุนด้วย เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว หมู่บ้านจึงมีการเตรียมมาตรการรับมือที่หลากหลายตั้งแต่การจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวต่อวัน จัดให้การเดินป่าไม่มีป้าย ต้องตามไกด์ผู้นำทางของหมู่บ้านเท่านั้น เพื่อลดแนวโน้มการทำลายทรัพยากรธรรมชาติของนักท่องเที่ยว จัดการอบรมเรื่องขยะและก่อสร้างเตาเผาขยะ และกำหนดให้ผู้ที่มาประกอบกิจการสร้างที่พักหรือโฮมสเตย์ได้ต้องเป็นคนในพื้นที่เท่านั้นอีกด้วย [6]
จากกรณีศึกษาหมู่บ้านแม่กำปองสามารถสังเกตเห็นได้ว่า “ต้นทุน” นั้นเป็นสารตั้งต้นสำหรับการริเริ่มก่อตั้งแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชน โดยที่ต้นทุนและศักยภาพดังกล่าวอาจปรากฏได้ในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนด้านทรัพยากรธรรมชาติ ภูมิศาสตร์และตำแหน่งที่ตั้ง หรือวิถีชีวิตท้องถิ่นและวัฒนธรรม อย่างไรก็ตาม การรักษาต้นทุนนั้นไว้ให้คงอยู่ไปตลอดเองก็สำคัญไม่แพ้กัน
“พยายามคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์เดิมให้ได้ เพื่อความยั่งยืน เพราะเมื่อ ‘พัง’ ไม่ได้พังคนเดียว แต่พังทั้งหมู่บ้าน เพราะตอนนี้ทุกคนเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวทั้งหมดและถือเป็นรายได้หลักของชุมชนแล้ว”
— “ป้อหลวง” ธีรเมศร์ ขจรพัฒนภิรมย์
03 — แนวทางการเดินหน้าและสนับสนุนของทุกภาคส่วน
แม้ตัวอย่างของชุมชนหมู่บ้านแม่กำปองจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชนที่ถูกริเริ่มขึ้นโดยชุมชนเองอีกทั้งยังได้แสดงให้เห็นถึงตัวอย่างการรับมือต่อความเปลี่ยนแปลงในส่วนของภาคเอกชนที่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว แต่ก็สามารถเป็นต้นแบบที่ช่วยสะท้อนแนวทางการวางแผนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชนในอนาคตให้กับภาครัฐได้เป็นอย่างดี โดยมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่อาจทำได้ในรูปแบบของการให้การสนับสนุนชุมชนด้านการวางแผนและจัดการระบบ
ทั้งนี้เพราะจากการศึกษาพบว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในเส้นทางสู่ความสำเร็จของแม่กำปองคือระบบการบริหารจัดการที่แข็งแรงอันเป็นสะพานเชื่อมระหว่างทรัพยากรที่มีอยู่กับความต้องการของคนในชุมชน [7] ในขณะเดียวกัน พบว่าในชุมชนทั่วประเทศยังคงขาดสมรรถนะด้านการบริหารจัดการ [8] ภาครัฐ เอกชน และหน่วยงานต่าง ๆ จึงควรกลับมาให้ความสำคัญกับการสนับสนุนชั่วคราวที่อยู่นอกเหนือจากสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น การสร้างระบบการจัดการน้ําที่มีประสิทธิภาพในพื้นที่ท่องเที่ยวสำหรับด้านสิ่งแวดล้อม การสนับสนุนกิจกรรมที่เน้นการสร้างสรรค์และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนหรือการเสริมสร้างการศึกษาให้แก่นักท่องเที่ยวและชุมชนท้องถิ่นเกี่ยวกับปัญหาที่เกี่ยวข้องสำหรับการคงไว้ซึ่งสังคมและวัฒนธรรมของชุมชน
และสุดท้าย ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมสินค้าที่มีคุณภาพและความพิเศษของชุมชน พร้อมทั้งวางแผนการท่องเที่ยวที่ครอบคลุมทั้งปีเพื่อเศรษฐกิจชุมชน [9] ทั้งหมดเพื่อให้สามารถมั่นใจได้ว่าการท่องเที่ยวโดยชุมชนจะเติบโตไปในทิศทางที่ถูกต้องได้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน
04 — บทสรุป
การท่องเที่ยวโดยชุมชนเป็นหนึ่งในกลไกที่สามารถขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนในพื้นที่ชุมชนท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสบผลสำเร็จได้จริงโดยมุ่งเน้นที่การปรับหลักการและเป้าหมายของ SDGs โดยเฉพาะเป้าหมายหลักที่ 11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน และ เป้าหมายหลักที่ 12 การผลิตและบริโภคที่ยั่งยืน มาปรับให้เข้าบริบท อัตลักษณ์ และความต้องการเชิงพื้นที่ โดยมีชุมชนเป็นหัวใจหลักในการตัดสินใจ
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา การท่องเที่ยวโดยชุมชนในประเทศถูกผลักดันและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในท้องถิ่นอย่างยั่งยืนในระยะยาว และในปัจจุบันได้มีตัวอย่างชุมชนที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเส้นทางการสนับสนุนการท่องเที่ยวโดยชุมชนในประเทศแล้วว่าทำได้จริง ทั้งด้านความพร้อมและความตั้งใจของชุมชน การสนับสนุนจากภาครัฐ รวมไปถึงกำลังซื้อและความสนใจของนักท่องเที่ยวที่ถูกแสดงให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมผ่านรายได้และจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ดี การพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนให้ยั่งยืนอย่างแท้จริงนั้น ความสามารถและมาตรการในการแก้ไขปัญหาที่อาจตามมาในภายหลังก็นับเป็นส่วนสำคัญเช่นกัน โดยมีตัวอย่างที่สามารถเห็นได้ชัดเจนคือ การท่องเที่ยวโดยชุมชนหมู่บ้านแม่กำปองที่สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการรับมือที่ชุมชนสามารถทำได้และแนวทางการสนับสนุนที่เป็นไปได้จากภาครัฐ โดยมีกุญแจสำคัญคือการคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์หรือ “ต้นทุน” ของชุมชน
จากการศึกษาการท่องเที่ยวโดยชุมชนของประเทศไทยในปัจจุบันพบว่าชุมชนทั่วประเทศยังคงขาดความสามารถในด้านการบริหารจัดการอันเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จที่สำคัญ การสนับสนุนจากภาคส่วนต่าง ๆ จึงสามารถเป็นไปได้ตามแนวทางการให้การสนับสนุนชั่วคราวในด้านดังกล่าวเพื่อให้ชุมชนสามารถพัฒนาตนเองอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว
อติรุจ ดือเระ – บรรณาธิการ
อ่านข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง
– สำรวจเเนวทางบำบัดน้ำทิ้งของรีสอร์ตในอัมพวา ผ่านระบบบำบัดน้ำเสียบึงประดิษฐ์การไหลเวียนใต้ชั้นกรอง ทางเลือกส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เเละยั่งยืน
– พื้นที่ต้นแบบ ‘ชุมชนริมคลองลาดพร้าว’ มีแนวทางพัฒนาระบบขนส่งทางน้ำและการท่องเที่ยวอย่างไร? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ.ดร.ภาวิณี เอี่ยมตระกูล’
– อพท. จัดโครงการ “DASTA SE HERO 2022” หนุนชาวบ้านและเยาวชนเป็นผู้ประกอบการธุรกิจเพื่อสังคม-หวังชุมชนมีรายได้ผ่านการจัดการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน
ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ
#SDG8 งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
– (8.9) ออกแบบและใช้นโยบายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน ซึ่งช่วยสร้างงานและส่งเสริมวัฒนธรรมและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ภายในปี พ.ศ. 2573
#SDG11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
– (11.3) ยกระดับการพัฒนาเมืองและขีดความสามารถให้ครอบคลุมและยั่งยืนเพื่อการวางแผนและการบริหารจัดการการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์อย่างมีส่วนร่วม บูรณาการและยั่งยืนในทุกประเทศ ภายในปี พ.ศ. 2573
– (11.4) เสริมความพยายามในการปกป้องและคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติของโลก
– (11.6) ลดผลกระทบทางลบของเมืองต่อสิ่งแวดล้อมต่อหัวประชากรรวมถึงการให้ความสำคัญกับคุณภาพอากาศและการจัดการขยะมูลฝอย และของเสียอื่นๆ ภายในปี พ.ศ. 2573
– (11.a) สนับสุนนการเชื่อมโยงเชิงบวกทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมระหว่างพื้นที่เมือง รอบเมือง และชนบทโดยการเสริมความแข็งแกร่งของการวางแผนการพัฒนาในระดับชาติและภูมิภาค
#SDG12 การผลิตและบริโภคที่ยั่งยืน
– (12.b) พัฒนาและดำเนินการใช้เครื่องมือเพื่อติดตามผลกระทบของการพัฒนาที่ยั่งยืนในด้านการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนที่สร้างงานและส่งเสริมวัฒนธรรมและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
#SDG16 สังคมสงบสุข ยุติธรรม และสถาบันเข้มแข็ง
– (16.7) สร้างหลักประกันว่าจะมีกระบวนการตัดสินใจที่มีความรับผิดชอบ ครอบคลุม มีส่วนร่วม และมีความเป็นตัวแทนที่ดี ในทุกระดับการตัดสินใจ
#SDG17 ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
– (17.14) ยกระดับความสอดคล้องเชิงนโยบายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
เอกสารอ้างอิง:
[1] องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน. (2564). คู่มือเกณฑ์มาตรฐานการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชน. สืบค้นจาก https://www.dasta.or.th/uploads/file/202107/1625581774_f069d051f6c919c4189f.pdf
[2] ไทยแลนด์พลัส. (8 พฤศจิกายน 2567). อพท. ประกาศความสำเร็จการพัฒนาการท่องเที่ยวยั่งยืนตามแผนยุทธศาสตร์ ปี 67 พร้อมปักหมุดเดินหน้าพัฒนาการท่องเที่ยวปี 68 เพื่อกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่น. สืบค้นจาก https://www.thailandplus.tv/archives/877500
[3] พรไพลิน จุลพันธ์. (2 มกราคม 2568). เปิดสถิติปี 2567 ต่างชาติเที่ยวไทย 35.54 ล้านคน ส่อง 10 อันดับเดินทางสูงสุด. กรุงเทพธุรกิจ. สืบค้นจาก https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1160350
[4] เศรษฐศาตร์ นอกกะลา. (22 เมษายน 2567). ท่องเที่ยวไทย… ต้องตีโจทย์ให้แตก. The Story Thailand. สืบค้นจาก https://www.thestorythailand.com/22/04/2024/128158/
[5] ปวีณา ลี้ตระกูล. (2554). การท่องเที่ยวและการกระจายรายได้ของจังหวัดเชียงราย. วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย, 6(2), 91-116. สืบค้นจาก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmscrru/article/view/127334/96082
[6] ณัฐดนัย ใหม่ซ้อน. (12 สิงหาคม 2562). ใช้วิจัยขับเคลื่อน ‘แม่กำปอง’ สู่ท่องเที่ยวชุมชน บอกเล่าตามแบบฉบับ ‘ป้อหลวงธีรเมศร์’. สำนักข่าวอิศรา. สืบค้นจาก https://www.isranews.org/article/isranews-article/79332-interview-79332.html
[7] Jitpakdee, P., Harun, A., & Mohd. Zain, Z. (2559). Local community development through community-based tourism management: A case study of Mae Kampong Village. Mediterranean Journal of Social Sciences, 7(3 S1), 407–414. doi: 10.5901/mjss.2016.v7n3s1p407
[8] [9] ภัครธรณ์ เอี่ยมอําภา. (2567). ความร่วมมือภาครัฐและเอกชนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน. วารสาร มจร เพชรบุรีปริทรรศน์, 7(1), 34-47. สืบค้นจาก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JPR/article/view/271692/182776