ปัจจุบันวิกฤตขยะพลาสติกได้ทวีความรุนแรงขึ้นจนยากเกินกว่าจะควบคุม ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เองก็ได้รับผลกระทบจากพลาสติกและมลสารที่กำลังแทรกซึมเข้าสู่ระบบนิเวศ ร่างกายมนุษย์ และสัตว์ป่า ขณะเดียวกันท่ามกลางนโยบายและมาตรการมากมายในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค เกิดเป็นคำถามว่า หนทางที่ดำเนินอยู่คือทางออกที่แท้จริงหรือทางออกลวง? SDG Recommends ชวนอ่านรายงาน “ทางออกลวง: เปิดช่องโหว่นโยบายการจัดการปัญหามลพิษพลาสติกในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” (False solutions: unmasking policy gaps in addressing plastic pollution in Thailand and Southeast Asia) เพื่อสะท้อนแนวนโยบายที่ภาครัฐจำเป็นต้องหลีกเลี่ยง รวมถึงแนวโน้มการปฏิบัติงานบางอย่างที่อาจเป็นตัวบ่งชี้การติดกับดักทางออกลวงเสียแล้ว
รายงานข้างต้น จัดทำโดย มูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม ประเทศไทย (Environmental Justice Foundation Thailand) ได้นำเสนอถึงการทบทวนและอธิบายคำนิยามของ “ทางออกลวง” เพื่อใช้ในการวิเคราะห์มาตรการและนโยบาย กฎหมายที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาพลาสติกของประเทศไทย โดยอ้างอิงการจัดลำดับความสำคัญของมาตรการและเทคโนโลยีตามหลักการจัดการขยะอย่างถูกต้อง (waste hierarchy) ซึ่งให้ความสำคัญกับการลดการใช้เป็นลำดับแรกและกำหนดให้การฝังกลบเป็นทางเลือกสุดท้าย
พร้อมชวนตั้งคำถามให้ทบทวนว่า ทำไมโรงไฟฟ้าขยะและการใช้พลาสติกทางเลือก จึงไม่ใช่คำตอบที่แท้จริง ผ่านการสะท้อนให้เห็นว่าการรีไซเคิลในเชิงเคมี ไม่มีประสิทธิภาพ ใช้พลังงานมากเกินไป ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเสี่ยงต่อการสร้างของเสียที่เป็นพิษ ส่วนการแปลงขยะเป็นพลังงานหรือโรงไฟฟ้าขยะเป็นโครงการที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง โดยเฉพาะเมื่อคำนวณรวมค่าใช้จ่ายในการควบคุมมลพิษ และสุดท้ายพลาสติกทางเลือก ยังคงมีส่วนประกอบของสารเคมีที่เป็นพิษไม่ต่างจากพลาสติกทั่วไป ขณะที่พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพก็ยังมีความเสี่ยงในการปล่อยสารเคมีอันตรายสู่สิ่งแวดล้อม สะท้อนให้เห็นมาตรการแก้ไขปัญหาที่ปลายน้ำ ไม่ใช่การจัดการกับต้นตอปัญหาที่แท้จริงและยังสร้างปัญหาใหม่ในด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และเศรษฐกิจอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษาระดับประเทศของไทย โดยนำเสนอให้เห็นถึงทิศทางนโยบาย กลไกทางกฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมายในประเทศ เช่น ผลกระทบจากโรงไฟฟ้าขยะแห่งหนึ่งในอำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ ทั้งนี้ยังมีกรณีศึกษาในระดับภูมิภาคของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอาเซียน ที่นำเสนอปัญหานโยบายว่าด้วยมลพิษพลาสติกที่ยังขาดมาตรการต้นน้ำ โดยเฉพาะนโยบายการจัดการกับพลาสติกพอลิเมอร์ในขั้นปฐมภูมิ และการควบคุมการขยายตัวของห่วงโซ่อุปทานปิโตรเคมี
ส่วนสุดท้าย รายงานพยายามชี้ให้ผู้อ่านให้ออกจากทางออกลวงมุ่งสู่ทางออกจริง โดยอธิบายเน้นย้ำถึงผลกระทบของโรงงานไฟฟ้าขยะและการเร่งรีบลงทุนโดยไม่พิจารณาผลกระทบอย่างรอบคอบที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าสร้างความทุกข์ยากให้แก่ผู้คนที่ต้องอยู่กับปัญหาเหล่านี้ พร้อมให้ข้อเสนอแนะถึง 7 ข้อแก่ประเทศไทย เช่น จัดทำแผนปฏิบัติการด้านการจัดการพลาสติกฉบับใหม่ที่เน้นมาตรการต้นน้ำ รวมถึงการลดการผลิตและปริมาณพลาสติก ยุติการใช้พลาสติกที่ไม่จำเป็นหรือมีสารพิษ และควบคุมสารเคมีอย่างเข้มงวดตลอดวงจรชีวิตของพลาสติก และอีก 7 ข้อ สำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าปัญหาพลาสติกต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
● อ่านข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง
– EJF ชวนจับตา ‘ข้อตกลงพลาสติกโลก ครั้งที่ 3’ พร้อมให้ข้อเสนอแนะต่อคณะผู้แทนรัฐบาลไทย เพื่อยุติมลพิษพลาสติกอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม
– เปิดฉากการเจรจา ‘สนธิสัญญาพลาสติกโลก INC-5.2’ ที่เจนีวา ผู้แทน 3,700 คนร่วมถกหาทางลดมลพิษพลาสติกอย่างยั่งยืน
– ผลกระทบของขยะพลาสติกในมหาสมุทรที่มีต่อสุขภาพของคน: การศึกษาที่อาจยังขาดหายไป
– Policy Brief | การบริหารจัดการขยะอย่างครบวงจร ด้วยวิธีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านการทำงานแบบมีส่วนร่วมระหว่างหน่วยงาน โครงการย่อยที่ 2 (เป้าหมายย่อยที่ 12.4)
– SDG Insights | ขยะพลาสติกในทะเล: ความพยายามของภูมิภาคอาเซียน
– SDG Insights | ธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมในยุค ‘ขยะล้นเมือง’ : ทางออกที่ยั่งยืนอยู่ที่พลังการมีส่วนร่วมของประชาชน
ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ
#SDG7 พลังงานสะอาดที่เข้าถึงได้
– (7.2) เพิ่มสัดส่วนของพลังงานทดแทนในการผสมผสานการใช้พลังงานของโลกภายในปี 2579
– (7.a) ยกระดับความร่วมมือระหว่างประเทศในการอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงการวิจัยและเทคโนโลยีพลังงานที่สะอาด โดยรวมถึงพลังงานทดแทน ประสิทธิภาพการใช้พลังงานและเทคโนโลยี เชื้อเพลิงฟอสซิลชั้นสูงและสะอาด และสนับสนุนการลงทุนในโครงสร้าง พื้นฐานด้านพลังงานและ เทคโนโลยีพลังงานที่สะอาด ภายในปี 2579
#SDG9 โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม และอุตสาหกรรม
– (9.4) ยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน และปรับปรุงอุตสาหกรรม เพื่อให้เกิดความยั่งยืนโดยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรและการใช้เทคโนโลยีและกระบวนการทางอุตสาหกรรมที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยทุกประเทศดำเนินการตามขีดความสามารถของแต่ละประเทศ ภายในปี 2573
#SDG11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
– (11.6) ลดผลกระทบทางลบของเมืองต่อสิ่งแวดล้อมต่อหัวประชากรรวมถึงการให้ความสำคัญกับคุณภาพอากาศและการจัดการขยะมูลฝอย และของเสียอื่นๆ ภายในปี พ.ศ. 2573
#SDG12 การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน
– (12.1) ดำเนินการให้เป็นผลตามกรอบการดำเนินงานระยะ 10 ปี ว่าด้วยการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนทุกประเทศนำไปปฏิบัติ โดยประเทศพัฒนาแล้วเป็นผู้นำโดยคำนึงถึงการพัฒนาและขีดความสามารถของประเทศกำลังพัฒนา
– (12.4) บรรลุการจัดการสารเคมีและของเสียทุกชนิดตลอดวงจรชีวิตของสิ่งเหล่านั้นด้วยวิธีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศที่ตกลงกันแล้ว และลดการปลดปล่อยสิ่งเหล่านั้นออกสู่อากาศ น้ำ และดินอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อจะลดผลกระทบทางลบต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุดภายในปี 2563
– (12.5) ลดการเกิดของเสียโดยให้มีการป้องกัน การลดปริมาณ การใช้ซ้ำ และการนำกลับมาใช้ใหม่ ภายในปี พ.ศ. 2573
#SDG17 ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
– (17.14) ยกระดับความสอดคล้องเชิงนโยบายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
แหล่งที่มา : ทางออกลวง: เปิดช่องโหว่นโยบายการจัดการปัญหามลพิษพลาสติกในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (EJF)