“ประมงอวนลาก ภัยเงียบคุกคามอนาคตทะเลไทย ? หาคำตอบผ่านรายงานอุตสาหกรรมอวนลากฯ ฉบับล่าสุดของ EJF”

“จะเป็นอย่างไรหากอีกสิบปีข้างหน้า ไม่มีสัตว์น้ำในทะเลไทยให้เรากิน”

โจทย์คำถามข้างต้นดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัวและเกินกว่าจะเกิดขึ้นจริง แต่เมื่อพิจารณารายงานประมาณการผลผลิตและมูลค่าสัตว์น้ำจากการประมงของประเทศไทย พ.ศ. 2564 – 2566  พบว่าในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2554 – 2563) มีผลผลิตจากการทำการประมงทะเลเฉลี่ย 1,445,005 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่า 56,961 ล้านบาทต่อปี โดยผลผลิตมีแนวโน้มลดลงในอัตราร้อยละ 0.78 ต่อปี ซึ่งหนึ่งในสาเหตุสำคัญมาจากการทำประมงเกินศักยภาพการผลิตของธรรมชาติ (overfishing)

สถิติสอดคล้องกับความกังวลของ วิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี ผู้จัดการสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย ที่ระบุว่า “ไม่ควรมีเรืออวนลากคู่ในประเทศนี้ โลกนี้ไม่ควรมีด้วยซ้ำ เพราะเป็นวิธีการทำประมงที่ทำลายล้างมาก จับทุกอย่างเลยตั้งแต่พื้นทะเลยันผิวน้ำ สัตว์น้ำไม่ว่าตัวเล็กตัวใหญ่หนีไม่ได้เลย การทำประมงแบบนี้แหละเป็นการเอาเปรียบคนทั่วโลก” [1]

การตื่นตัวต่อผลกระทบจากการใช้อวนลากเป็นการเตรียมพร้อมที่ยั่งยืนหรือเป็นเพียงกระต่ายตื่นตูมมากกว่ากัน และมีข้อเสนอแนะใดบ้างที่เป็นแนวทางสำคัญในการแก้ปัญหา ชวนผู้อ่านสำรวจและร่วมหาคำตอบผ่านรายงาน “อุตสาหกรรมอวนลากในประเทศไทย” ที่จัดทำและเผยแพร่โดยมูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (Environmental Justice Foundation: EJF)


01 – ‘อวนลาก’ การประมงกินรวบแบบโนสนโนแคร์

การประมงที่ใช้อวนลากเป็นเครื่องมือถูกจัดให้อยู่ใน ‘กลุ่มเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูง’ เช่นเดียวกับอวนล้อมจับมีสายมานและเรือปั่นไฟ โดยลักษณะของเครื่องมืออวนลากคือมีอวนจับปลาผูกไว้ท้ายเรือในระดับผิวน้ำ หรือใต้น้ำ โดยมีการถ่วงน้ำหนักไว้ ขณะที่กรมประมงนิยามอวนลากว่าคือ “เครื่องมืออวนที่มีลักษณะคล้ายถุง เมื่อทำงานจะใช้เรือลากจูงให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง” [2]

ทั้งนี้ อวนลากมีทั้งสิ้น 3 รูปแบบ ได้แก่

  1. อวนลากคู่ (pair trawls) หมายถึง อวนลากที่ใช้เรือสองลำช่วยถ่างปากอวน
  2. อวนลากแผ่นตะเฆ่ (otter board trawls) หมายถึง อวนลากที่ใช้แผ่นตะเฆ่ช่วยถ่างปากอวน ได้แก่ อวนลากปลา อวนลากกุ้ง อวนลากเคย และอวนลากแมงกะพรุน
  3. อวนลากคานถ่าง (beam trawls) หมายถึง อวนลากที่ใช้คานช่วยถ่างปากอวน ได้แก่ อวนลากคานถ่างแบบลากกุ้ง (บางแห่งเรียกว่าอวนลากข้างหรืออวนลากแขก) และอวนลากคานถ่างแบบลากแมงกะพรุน (ชาวประมงเรียกว่าอวนลากจอหนัง)

อวนลากทั้ง 3 รูปแบบล้วนเป็นวิธีการทำประมงที่สร้างปัญหาแก่ระบบนิเวศทางทะเล เนื่องจากเป็นการประมงที่จับสัตว์น้ำเกินขนาด ทำลายแนวปะการัง รบกวนตะกอนและเลน และบ่อนทำลายสัตว์น้ำในพื้นที่ซึ่งใช้พื้นทะเลเป็นที่อยู่อาศัย แหล่งอาหาร หรือพื้นที่ขยายพันธุ์ ทั้งนี้ EJF ระบุในรายงายว่ามีการประมาณการไว้ว่า การลากอวนนั้นสามารถจับสัตว์น้ำได้ถึง 30 ล้านตันต่อปี ซึ่งสูงกว่าวิธีการทำประมงแบบอื่น ๆ อย่างไรก็ดีปริมาณที่จับได้มากนี้ตอบโจทย์เพียงเจ้าของกิจการประมงเท่านั้น จึงนับว่าการประมงด้วยอวนลากที่สร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลในไทย เป็นปัญหาสำคัญที่สวนทางกับความพยายามของนานาชาติที่ร่วมมือกันอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรประมงทางทะเลอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน


02 – สถานการณ์เรืออวนลากไทย เดินหน้าทำลายล้างสัตว์น้ำเศรษฐกิจ

ไทยเป็นประเทศอุตสาหกรรมทางทะเลที่สำคัญแห่งหนึ่งของเอเชีย ปัจจุบันมีเรือประมงมากถึง 61,832 ลำ แบ่งเป็นเรือประมงพาณิชย์ 10,595 ลำ และเรือประมงพื้นบ้าน 51,237 ลำ ในจำนวนดังกล่าวจัดเป็นเรือประมงอวนลากทั้งสิ้น 3,370 ลำ โดยจดทะเบียนอยู่ที่อ่าวไทยจำนวน 2,752 ลำ และจดทะเบียนไว้ที่ทะเลอันดามันจำนวน 618 ลำ [3]

แม้ประเทศไทยจะเริ่มปฏิรูปการประมงมาตั้งแต่ปี 2558 แต่การฟื้นตัวของระบบนิเวศในปี 2564 ยังคงเชื่อมโยงกับปริมาณสัตว์น้ำที่ลดลง โดยหากพิจารณาสถิติเกี่ยวกับปริมาณสัตว์น้ำที่จับได้ต่อหน่วยลงแรงประมง (catch per unit effort: CPUE) ซึ่งเป็นหน่วยที่มักใช้วัดความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์น้ำ จะพบว่าบริเวณท่าเรือสำคัญ 3 แห่ง ที่มักใช้จดทะเบียนเรืออวนลาก ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดสมุทรสงคราม และจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเขต 3 และเขต 7 นั้นล้วนเป็นพื้นที่ที่มีค่า CPUE ต่ำสุดในประเทศ โดยปี 2554 อยู่ที่ 8.990 กก./ชม. และ 9.480 กก./ชม. ตามลำดับ ขณะที่ข้อมูลล่าสุดปี 2563 พบว่าค่า CPUE ของเขต 3 และเขต 7 อยู่ในช่วง 6-10.99 เช่นเดิม สะท้อนว่าพื้นที่ทำประมงดังกล่าวยังคงมีค่า CPUE ต่ำสุดในอ่าวไทย อย่างไรก็ดีการวัด CPUE ในไทยยังค่อนข้างมีข้อจำกัด กล่าวคือ การเก็บข้อมูลวัดจากประชากรสัตว์น้ำประเภทผิวหน้า ปลาหน้าดิน หมึก กุ้ง ปู หอย ปลาเป็ด และอื่น ๆ เป็นการวัดโดยไม่จำกัดว่าจะต้องวัดจากประชากรสัตว์น้ำชนิดใดชนิดหนึ่งทำให้อาจสรุปผลได้ยาก [4]

สถิติ CPUE ประจำปี พ.ศ. 2554 และ พ.ศ. 2563 ภาพจากรายงานอุตสาหกรรมอวนบากในประเทศไทย

นอกจากนี้ ข้อมูลการจับสัตว์น้ำของเรืออวนลากตั้งแต่ปี 2551-2562 แสดงให้เห็นว่ามีปริมาณสินค้า (หน่วยวัดเป็นตัน) ลดลงจาก 784,991 ตันในปี 2551 เหลือ 637,213 ตันในปี พ.ศ. 2562 นับเป็นสัดส่วน 19% ในขณะเดียวกัน น้ำหนักตันกรอสรวมของเรือลากอวนกลับเพิ่มสูงขึ้นจาก 154,972 ตันในปี 2551 เป็น 201,426 ตันในปี 2562 (เพิ่มขึ้น 30%) สะท้อนว่าผู้ประกอบการมีการทำประมงเกินขนาดด้วยความคิดว่าการใช้เรือเชิงอุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจะทำให้จับสัตว์น้ำได้มากขึ้นซึ่งขัดแย้งกับความเป็นจริงในปัจจุบัน [5]

การประมงอวนลากที่ยังคงดำเนินต่อเนื่องในไทยข้างต้น จึงส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาทางทะเลที่สำคัญคือการทำลายล้างสัตว์น้ำเศรษฐกิจขนาดเล็ก เนื่องจากประมงอวนลากเป็นวิธีที่ทำให้เกิดการจับปลาเป็ดแท้และปลาเป็ดเทียมเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก กล่าวคือเรืออวนลากจับทั้งปลาเป็ดแท้ซึ่งหมายถึงปลาที่มีมูลค่าทางทางเศรษฐกิจต่ำ และปลาเป็ดเทียมซึ่งหมายถึงสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่ถูกทำให้ช้ำหรือถูกบดขยี้จากการการลากจนโดนลดค่าเป็นปลาเป็ด โดยส่วนใหญ่มักเป็นเป็นลูกปลาเศรษฐกิจหลายสายพันธุ์ เช่น ปลาทู ปลากะตัก และหมึก ซึ่งหากปล่อยให้สัตว์น้ำเหล่านี้โตต่อไปอีก 3-6 เดือน จะสามารถสร้างมูลค่าได้มากขึ้นหลายเท่าตัว นอกจากนี้ สัตว์น้ำประเภทดังกล่าวยังสามารถขยายพันธุ์และเพิ่มปริมาณประชากรอีกด้วย ดังนั้น การจับปลาก่อนถึงวัยแรกเริ่มเจริญพันธุ์ (วัดจากว่าปลาตัวนั้นเคยสืบพันธุ์และเพิ่มปริมาณประชากรหรือไม่) จึงสร้างผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล สกัดกั้นไม่ให้ประชากรปลาในประเทศไทยอยู่ในระดับที่ยั่งยืนและเป็นภัยคุกคามต่อรายได้ของชาวประมงพื้นบ้านและชาวประมงพาณิชย์[6]

ปลาเป็ด คือ ปลาขนาดเล็กที่ชาวประมงจับได้แต่ไม่สามารถขายเพื่อให้คนบริโภคได้ จึงนำมาขายให้ผู้เลี้ยงเป็ดในราคาถูกเพราะเป็ดชอบกินปลาตัวเล็กๆ เป็นตัวๆ จึงเรียกว่า ปลาเป็ด

ทั้งนี้ ในบรรดาประเภทของเรือลากอวนทั้งหมด พบว่าเรืออวนลากคู่สร้างความเสียหายมากกว่าอวนลากชนิดอื่น ๆ เป็นอย่างมาก โดย EJF อ้างถึงงานวิจัยของกรมประมงในปี 2560 ที่เปิดเผยว่าแม้เรืออวนลากคู่จะออกเรือน้อยกว่า 20% ของการออกเรืออวนลากทั้งหมดในปีนั้น ๆ แต่เรืออวนลากคู่สามารถจับสัตว์น้ำได้ถึง 56% ของปริมาณการจับสัตว์น้ำทั้งหมด โดยอัตรา CPUE ของเรืออวนลากคู่ในปี 2560 สูงกว่าของเรืออวนลากแผ่นตะเฆ่และเรืออวนลากคานถ่างรวมกันถึง 3 เท่า นอกจากนี้สัตว์น้ำที่เรืออวนลากคู่จับได้มีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2546 (264,814 ตัน) ถึงปี 2562 (366,724 ตัน) ซึ่งคิดเป็น 38% แม้พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 จะบังคับให้ขยายขนาดก้นอวน (ส่วนที่ใช้จับปลา) โดยตาอวนต้องมีขนาดขั้นต่ำ ที่ 4 เซนติเมตร อย่างไรก็ตาม สัดส่วนของการจับสัตว์น้ำที่เป็นปลาเป็ดและจำนวนเครื่องมือทำประมงที่เพิ่มขึ้นต่างชี้ให้เห็นว่าข้อกำหนดดังกล่าวไม่ประสบผลสำเร็จ อีกทั้งในปี 2565 EJF ได้ลงพื้นที่สำรวจและพบว่าเรือที่มีการจับปลาเป็ดยังใช้อวนที่มีขนาดตาต่ำกว่า 4 เซนติเมตรอยู่ [7]

อย่างไรก็ดี การห้ามประมงอวลลาก โดยเฉพาะเรืออวนลากคู่ก็อาจต้องพิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับแรงงานที่ทำงานบนเรืออวนลาก ซึ่งปี 2564 พบว่ามีอยู่มากถึง 14,612 คน ภาครัฐจึงอาจต้องพิจารณาวิธีแก้ปัญหาอย่างถี่ถ้วนและครอบคลุมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้มากที่สุด โดย EJF แนะนำว่าให้มีการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยเริ่มดำเนินการจากเรืออวนลากคู่ที่มีขนาดใหญ่และเครื่องยนต์แรงที่สุดก่อน ซึ่งต้องคำนึงถึงการให้เงินสนับสนุนและให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการและชาวประมงที่ต้องเปลี่ยนไปใช้เครื่องมือลักษณะอื่น


03 – “ขาดข้อมูล” และ “ไม่จริงจังในการบังคับใช้กฎหมาย” สองสาเหตุสร้างหายนะระยะยาว

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ไทยต้องเผชิญปัญหาจากการประมงอวนลากมีอยู่ 2 ประการ ดังนี้

สาเหตุประการแรก การขาดการบันทึกและรายงานข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับการประมงอวนลาก โดย EJF ระบุว่าข้อมูลการประมงอวนลากของไทยไม่มีความน่าเชื่อถือและขาดความสม่ำเสมอในการรายงาน ส่งผลให้เกิดความยากลำบากที่จะวัดหรือเปรียบเทียบผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากเครื่องมือทำประมงแบบทำลายล้าง

ทั้งนี้ พบว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมากรมประมงซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่มีหน้าที่จัดทำข้อมูลเกี่ยวกับการประมง ยังขาดการจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณสัตว์น้ำที่จับได้สัดส่วนของชนิดสัตว์น้ำและการประเมินประชากรสัตว์น้ำที่สำคัญต่อเศรษฐกิจซึ่งเกิดจาก 2 สาเหตุด้วยกัน ได้แก่ 1. มีการจำกัดการเข้าถึงข้อมูล และ 2. ช่องโหว่ด้านข้อมูลที่เป็นปัญหามากขึ้นเรื่อย ๆ

EJF ยังระบุด้วยว่า ระบบการรายงานสัตว์น้ำที่จับได้ในปัจจุบันยังคงหละหลวมเป็นอย่างมาก ชาวประมงจึงสามารถบิดเบือนปริมาณที่จับได้จริง อีกทั้งระบบจัดเก็บข้อมูลปริมาณสัตว์น้ำที่จับได้ยังอนุญาตให้มีปริมาณสัตว์น้ำเหลื่อมล้ำจากที่บันทึกไว้ในสมุดปูมเรือได้้บวกลบ 20% ซึ่งมากกว่าข้อกำหนดปกติิที่่ตั้งไว้้ที่่ 10% เมื่อปี 2559

การไม่บันทึกและขาดการรายงานยังส่งผลต่อการประเมินประชากรสัตว์น้ำ ปัญหานี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนผ่านรายงานดัชนีการประมงโลก ปี 2564 ที่จัดทำโดยมูลนิธิมินเดอรู ซึ่งวัดความพยายามในการประเมินประชากรสัตว์น้ำของ 142 ประเทศทั่วโลก เช่น ตัวชี้วัดเกี่ยวกับกับจำนวนประชากรสัตว์น้ำ และตัวชี้วัดด้านความยั่งยืน โดยให้ผลเป็นเกรด A ถึง เกรด F ซึ่ง A หมายถึงมีความก้าวหน้าและยั่งยืนมากที่สุด ส่วน F หมายถึงมีความก้าวหน้าและยั่งยืนน้อยที่สุด ผลพบว่าไทยอยู่ที่ระดับเกรด E โดยได้คะแนนเพียง 7.9 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน กล่าวคือมีความพยายามปรับปรุงการประเมินประชากรสัตว์น้ำและความยั่งยืนน้อย โดยข้อค้นพบสำคัญที่ปรากฏในรายงานฉบับดังกล่าวคือกว่า 88% ของสัตว์น้ำที่จับได้ในไทยไม่ได้ผ่านการประเมินใด ๆ และมีเพียง 11 เท่านั้นที่ผ่านการประเมิน ขณะที่อีก 1 % ผ่านการประเมินจากองค์กรจัดการประมงระดับภูมิภาค (Regional Fisheries Management Organisation: RFMO) [8]

สาเหตุประการที่สอง ไม่มีการบังคับใช้บทลงโทษอย่างจริงจัง กล่าวคือปัจจุบันยังไม่มีการบังคับใช้บทลงโทษต่อผู้ประกอบการเรือประมงที่ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดเป็นประจำอย่างจริงจัง ผู้กระทำผิดจึงไม่มีเหตุให้ปฏิบัติตาม อีกทั้งยังไม่มีการกำหนดหรือบังคับใช้โควตาปริมาณสัตว์น้ำทั้งหมดที่อนุญาตให้ทำการประมง (total allowable catch: TAC) ทำให้ไม่มีการบังคับให้เรือประมงที่จับสัตว์น้ำเกินกำหนด 20% ต้องลดปริมาณการจับสัตว์น้ำในการออกเรือแต่ละครั้งลง

ทั้งนี้ กรมประมงได้ระบุถึงสาเหตุที่ยังไม่สามารถใช้ระบบการควบคุมโควตาปริมาณการจับสัตว์น้ำได้โดยตรง เนื่องจากมีข้อจำกัดหลายประการ เช่น การจัดทำสมุดบันทึกการทำประมงยังไม่บังคับกับเรือประมงทุกลำ โดยเฉพาะเรือประมงพื้นบ้าน ทำให้ไม่สามารถติดตามปริมาณการจับสัตว์น้ำของเรือแต่ละลำได้ การควบคุมโควตาการจับสัตว์น้ำมีความเสี่ยงที่จะเกิดการทิ้งสัตว์น้ำที่ไม่ต้องการลงทะเล เนื่องจากชาวประมงจะบันทึกน้ำหนักสัตว์น้ำที่มีราคาดีเท่านั้น และเมื่อหมดโควตาการจับสัตว์น้ำจะเกิดปัญหาการว่างงาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ [9]


05 – มองทางออกผ่านข้อเสนอแนะของ EJF

ผลกระทบจากประมงอวนลากไม่เพียงแต่ทำลายระบบนิเวศทางทะเลและลดจำนวนสัตว์น้ำลงเท่านั้น แต่มนุษย์ในฐานะผู้ใช้ประโยชน์จากทะเลก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบที่น่ากังวลได้ การมองหาทางออกเพื่อแก้ปัญหาข้างต้นจึงเป็นโจทย์สำคัญที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกัน โดย EJF ระบุถึงข้อเสนอแนะที่น่าสนใจสำหรับภาครัฐ ดังนี้ [10]

  • พิจารณาวิธียกเลิกการใช้เครื่องมือทำประมงแบบอวนลากคู่ที่สร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศทางทะเลของไทย และทำให้ประชากรสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่สำคัญในน่านน้ำไทยลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป และควรมีการวางแผนยกเลิกอย่างถี่ถ้วน โดยให้ความสำคัญกับเรืออวนลากคู่ขนาดใหญ่ที่สุดก่อน และควรดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสามปี
  • เร่งนำหลักปฏิบัติด้านความโปร่งใสสำหรับการทำประมงสากล 10 ประการของ EJF มาปรับใช้โดยเน้นการแก้ไขปัญหาการติดตามเรือประมงพาณิชย์ รวมถึงการบังคับใช้และดำเนินคดีกับเรือประมงผิดกฎหมาย
  • พิจารณาแก้ไขปัญหาช่องโหว่เกี่ยวกับเรืออวนลากด้วยการให้ความสำคัญกับหลักปฏิบัติดังต่อไปนี้เป็นพิเศษ ได้แก่ ข้อที่ 4 เผยแพร่บทลงโทษเมื่อมีการก่ออาชญากรรมทางการประมง ข้อที่ 5 การนำคำสั่งห้ามไม่ให้มีการขนถ่ายสัตว์น้ำกลางทะเลกลับมาใช้ ข้อที่ 9 ลงโทษทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมในการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม
  • สนับสนุนกฎบัตรด้านความโปร่งใสในการทำประมงของ EJF อย่างเปิดเผยและนำไปปรับใช้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อให้ประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านสามารถยุติการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม และปัญหาการทำประมงเกินขนาดอย่างมีประสิทธิภาพได้
  • จำกัดการอุดหนุนเพื่อเพิ่มศักยภาพการจับสัตว์น้ำ เช่น การอุดหนุนน้ำมันเขียวในกลุ่มเรืออวนลากคู่ เพราะไม่ก่อให้เกิดการทำประมงแบบยั่งยืน อีกทั้งยังทำให้เรือประมงพาณิชย์ที่อาศัยการอุดหนุนดังกล่าวสามารถทำกำไรจากการจับสัตว์น้ำมูลค่าต่ำอย่างปลาเป็ดมากขึ้นอีกด้วย

นอกจากนี้ EJF ยังให้ข้อเสนอแนะที่เจาะจงถึงกรมประมง ในฐานะหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการประมง เช่น

  • ทดลองระบบติดตามเรือ (Vessel Monitoring System: VMS) กับเรือประมงที่มีขนาดต่ำกว่า 30GT อย่างเร่งด่วน โดยเน้นไปที่เรืออวนลากคู่และเรืออวนลากแผ่นตะเฆ่ซึ่งสร้างความเสียหายมากเป็นพิเศษ
  • ตรวจสอบให้มั่นใจว่าศูนย์ติดตามและควบคุมเรือประมงได้ติดตามและตรวจสอบระบบ VMS ที่่มีีสัญญาณขาดหาย เพื่อพิจารณาว่ามีการกระทำผิดหรือไม่
  • ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การจัดการเรืออวนลากตามขนาดของเรือ โดยเรือขนาด 30GT 60GT และ 100GT ต้องมีกฎควบคุมการดำเนินงานที่เข้มงวดขึ้นตามขนาด
  • บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อห้ามไม่ให้เรืออวนลากจับปลาอ่อนวัยและลดจำนวนสัตว์น้ำอ่อนวัยที่อนุญาตให้จับติดมาได้ลง

06 – บทส่งท้าย

เมื่อพิจารณาข้อมูลจากรายงานของ EJF ข้างต้น จะเห็นว่าการประมงอวนลากเป็นปัญหาที่เชื่อมโยงกับระบบปฏิบัติการและการบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นสำคัญ ต้นสายปลายเหตุหรือรากของปัญหาประการแรกเกิดจากการหลับหูหลับตาไม่รับรู้ว่ามีการประมงเกินขีดจำกัดหรือไร้การควบคุมอย่างไรบ้าง เพราะไม่ติดตามและบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการประมงอวนลากให้ชัดเจน ถูกต้อง และสม่ำเสมอ ส่งผลกระทบต่อการประเมินประชากรสัตว์น้ำและความยั่งยืนของท้องทะเล และเปิดช่องโหว่ให้ผู้ประกอบกิจการประมงและชาวประมงบางกลุ่มใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลโดยยึดประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่คำนึงถึงกฎระเบียบและผลกระทบระยะยาวต่อระบบนิเวศทางทะเล อีกสาเหตุสำคัญคือความปวกเปียกของการบังใช้กฎหมาย ช่วยหนุนเสริมพลังให้กลุ่มประมงทำประมงผิดกฎหมายได้อย่างไม่เกรงกลัวบทลงโทษ

หากปล่อยให้กระแสการทำประมงอวนลากดำเนินต่อไปเช่นนี้ความกังวลต่อคำถามที่ขึ้นต้นบทความก็คงไม่ใช่การตื่นตูมแน่นอน และคงไม่ใช่แค่คนรุ่นเราเท่านั้นที่จะได้รับแรงกระแทกแต่คนรุ่นถัดจากเราก็คงลำบากไม่น้อย คำถามพ่วงต่อมาคือเราจะส่งต่อท้องทะเลที่เสียหาย ว่างเปล่า และอาหารทะเลราคาแพงให้กับคนรุ่นหลังอย่างนั้นหรือ ข้อเสนอแนะของ EJF อาจเป็นทางออกหนึ่งของปัญหานี้ แต่ถ้าภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ลุกขึ้นมาพูดคุยและดำเนินการสิ่งที่เป็นรูปธรรม “ทะเลไทยก็ยากที่จะดิ้นหลุดจากอวนแห่งความหายนะ”

● อ่านข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง
– Global Tuna Alliance ย้ำความร่วมมือและวิสัยทัศน์ที่รับผิดชอบร่วมกันจะทำให้ทะเลไม่บอบช้ำและมีทูน่าพอสำหรับโลก
– Parties to the Nauru Agreement (PNA) – ข้อตกลงของแปดประเทศเกาะในแปซิฟิกเพื่อการประมงทูน่าที่ยั่งยืน
– SDG Recommends | เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเรากับทะเลและมหาสมุทรมากขึ้นผ่าน Ocean Literacy
– อินโดนีเซียประเมินประชากรสัตว์น้ำเชิงพาณิชย์ในเขตประมงทั่วประเทศ เพื่อวางแผนการประมงและอนุรักษ์สัตว์น้ำได้ยั่งยืนขึ้น
– จังหวัดปาปัวตะวันตกคงความอุดมสมบูรณ์ทางทะเลได้ดีขึ้น เพราะการกำหนดพื้นที่คุ้มครองและบทบาทนำของชุมชนรอบชายฝั่ง 
ชาวประมงพื้นบ้านล่องเรือจากปัตตานีถึง กทม. ติด #ทวงน้ำพริกปลาทู เรียกร้องทุกภาคส่วนหยุดจับ-ซื้อ-ขาย สัตว์น้ำวัยอ่อน

 ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ
#SDG14 ทรัพยากรทางทะเล
– (14.2) บริหารจัดการและปกป้องระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืนเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบทางลบที่มีนัยสำคัญ รวมถึงโดยการเสริมภูมิต้านทานและปฏิบัติการเพื่อฟื้นฟู เพื่อบรรลุการมีมหาสมุทรที่มีสุขภาพดีและมีผลิตภาพ ภายในปี 2563
– (14.4) ภายในปี 2563 ให้กำกับในเรื่องการเก็บเกี่ยวและยุติการทำประมงเกินขีดจำกัด การประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม และแนวปฏิบัติด้านการประมงที่เป็นไปในทางทำลายอย่างมีประสิทธิภาพและดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการบริหารจัดการที่อยู่บนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เพื่อจะฟื้นฟูมวลสัตว์น้ำ (fish stock) ในเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่างน้อยที่สุดในระดับที่สามารถไปถึงระดับผลผลิตการประมงสูงสุดที่ยั่งยืน (maximum sustainable yield) ตามคุณลักษณะทางชีววิทยาของสัตว์น้ำเหล่านั้น
– (14.6) ภายในปี 2563 ห้ามการอุดหนุนการประมงบางประเภทซึ่งก่อทำให้เกิดศักยภาพการทำประมงที่มากเกินไป ขจัดการอุดหนุนที่มีส่วนทำให้เกิดการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม และระงับการริเริ่มการอุดหนุนในลักษณะดังกล่าว ตระหนักว่าการปฏิบัติที่เป็นพิเศษและแตกต่างที่เหมาะสมและมีประสิทธิผลสำหรับประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาน้อยที่สุดควรเป็นส่วนสำคัญในการเจรจาการอุดหนุนการประมงขององค์การการค้าโลก
– (14.c) เพิ่มพูนการอนุรักษ์และการใช้มหาสมุทรและทรัพยากรเหล่านั้นอย่างยั่งยืน โดยการดำเนินการให้เกิดผลตามกฎหมายระหว่างประเทศตามที่สะท้อนใน UNCLOS ซึ่งเป็นกรอบทางกฎหมายสำหรับการอนุรักษ์และการใช้มหาสมุทรและทรัพยากรเหล่านั้นอย่างยั่งยืน ตามที่ระบุในย่อหน้าที่ 158 ของเอกสาร The Future We Want

อ้างอิง:
[1] [2] [3] [4] [5] [6] [7] [8] [10] มูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม. (2565). อุตสาหกรรมอวนลากในประเทศไทย ผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลของไทยจากการลากอวนและข้อเสนอแนะในการปฏิรูปอุตสาหกรรมฯ จาก EJF. https://ejfoundation.org/resources/downloads/EJF-INTERNAL-FACING-TH-Final-Update-Revise-ES-03022023.pdf

[9] รัฐบาลไทย. (2565, 7 พฤศจิกายน). กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงข้อเรียกร้องยกเลิกมาตรการกำหนดโควตาจำนวนวันทำประมง.https://www.thaigov.go.th/news/contents/ministry_details/61341

Last Updated on เมษายน 27, 2023

Authors

  • Atirut Duereh

    Knowledge Communication | สนใจประเด็นสันติภาพ ความมั่นคงมนุษย์ เเละสิ่งเเวดล้อมทางทะเล ใช้ชีวิตโดยเชื่อในสมดุลมากกว่าความสมบูรณ์เเบบ

  • Wijanee Sendang [Graphic designer]

    นักออกแบบนิเทศศิลป์

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็นและรายละเอียดของท่านจะถูกเก็บเป็นความลับและใช้เพื่อการพัฒนาการสื่อสารองค์ความรู้ของ SDG Move เท่านั้น
* หมายถึง ข้อมูลที่จำเป็น