SDG Updates | จากข้อมูลสู่ชีวิตจริง เข้าใจ ‘แรงงานต่างด้าว’ และผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย  

นรมน ทองบุญยัง
#SDGMoveIntern2025

ปัจจุบันประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ด้วยความแตกต่างด้านค่าจ้างและคุณภาพชีวิต ทำให้แรงงานจำนวนมากยังคงหลั่งไหลเข้ามาทำงานอย่างต่อเนื่อง [1] ขณะเดียวกันประเทศไทยเองก็ยังคงต้องพึ่งพาแรงงานต่างด้าว โดยเฉพาะในภาคเศรษฐกิจที่ต้องอาศัยแรงงานลักษณะ 3D (Dirty, Dangerous, Difficult) ซึ่งประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานไทย 

แม้ว่าแรงงานต่างด้าวจะมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยแต่ก็มีแรงงานจำนวนไม่น้อยที่ยังคงเผชิญกับอคติ การเลือกปฏิบัติ และการละเมิดสิทธิในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่มีสถานะทางกฎหมายหรืออยู่ในระบบอย่างไม่สมบูรณ์ สถานการณ์ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา ยังอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในชีวิตของแรงงานกลุ่มนี้ในเวลานี้

SDG Updates  ฉบับนี้จะพาผู้อ่านสำรวจสถานการณ์ภาพรวมของแรงงานต่างด้าวในประเทศไทย ตั้งแต่การนิยามของคำว่า “แรงงานต่างด้าว” ข้อมูลสถิติการเข้ามาทำงาน ลักษณะงานที่ได้รับอนุญาต ชีวิตความเป็นอยู่ที่แรงงานต้องเผชิญ ตลอดจนแนวโน้มการเข้ามาของแรงงานต่างด้าว และผลกระทบที่มีต่อประเทศไทยในมิติต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและสังคม


01 – ความหมายและตัวเลขของแรงงานต่างด้าวในประเทศไทย

ปัจจุบันมีแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านหลั่งไหลเข้ามาทำงานในภาคเศรษฐกิจต่าง ๆ ของประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยคนไทยมักเรียกแรงงานเหล่านี้ว่า “แรงงานต่างด้าว” ในทางกฎหมายสำนักบริหารแรงงานต่างด้าวได้กำหนดความหมายของ “คนต่างด้าว” ว่าคือ บุคคล 3 สัญชาติ ได้แก่ เมียนมา ลาว และกัมพูชา [2] ขณะเดียวกันพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ได้ระบุความหมายของคำว่า “ลูกจ้าง” ว่าเป็นผู้ที่ทำงานให้นายจ้างโดยได้รับค่าจ้างเป็นการตอบแทน [3] เช่นนั้น แรงงานต่างด้าว ในที่นี้จึงหมายถึง แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านที่เดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทยโดยอยู่ภายใต้การจ้างงานของนายจ้างไทย 

ประเทศไทยยังคงมีความจำเป็นต้องพึ่งพาแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านในสัดส่วนที่สูงและยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยจากข้อมูลล่าสุด ณ เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2568 พบว่ามีแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานทั่วประเทศรวมทั้งสิ้นจำนวน 4,064,810 คน [4] ซึ่งแรงงานต่างด้าวส่วนใหญ่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ เมียนมา ร้อยละ 73 รองลงมาคือกัมพูชา ร้อยละ 13 และลาว ร้อยละ 0.7 ตามลำดับ [5] ซึ่งแรงงานเหล่านี้นิยมเดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทยเพื่อแสวงหารายได้ที่สูงกว่าในประเทศตนเอง ทั้งนี้ประเทศไทยเอง ได้มีการเปิดให้แรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานภายในประเทศอย่างต่อเนื่องภายใต้กรอบการจ้างงานที่ถูกต้องตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว เนื่องจากแรงงานต่างด้าวเป็นกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคส่วนที่แรงงานไทยมีแนวโน้มที่จะปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงลดความสนใจ เช่น งานก่อสร้าง งานบริการ และภาคเกษตรกรรม ที่ล้วนเป็นงานที่ใช้แรงงานหนักและมีค่าตอบแทนต่ำ ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องสำรวจว่าการเข้ามาของแรงงานต่างด้าว สามารถเข้ามาเติมเต็มช่องว่างในตลาดแรงงานไทยประเภทใด และภาคเศรษฐกิจที่พึ่งพาแรงงานมากที่สุดคือภาคใด


02 – สำรวจบทบาทแรงงานต่างด้าวในภาคเศรษฐกิจไทย : งานหนัก งานเสี่ยง งานสกปรก

ประเทศไทยมีแรงงานต่างด้าวหลั่งไหลเข้ามาจำนวนมาก ติดอันดับที่ 17 ของโลก และเป็นอันดับที่ 1 ในกลุ่มประเทศอาเซียน แสดงให้เห็นว่าไทยมีการพึ่งพาแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาก เนื่องจากแรงงานถือเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยแรงงานต่างด้าวถือเป็นกลุ่มที่เข้ามาเติมเต็มช่องว่างปัญหาการขาดแคลนแรงงานไร้ฝีมือ ซึ่งเป็นแรงงานที่ไม่จำเป็นต้องมีทักษะเฉพาะหรือประสบการณ์สูง แต่เป็นงานที่มีลักษณะเป็นงานหนัก (Difficult) สกปรก (Dirty) และเสี่ยงอันตราย (Dangerous) หรือที่เรียกกันว่า “งาน 3D” โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงานเข้มข้น เช่น งานก่อสร้าง งานบริการ และภาคเกษตร ซึ่งไม่เป็นที่นิยมของแรงงานไทยเนื่องจากมีสภาพการทำงานที่เหน็ดเหนื่อยและค่าตอบแทนไม่สูงนัก [6]

ขณะเดียวกันประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา กัมพูชา ลาว และเวียดนาม มีแรงงานจำนวนมากที่ไม่สามารถหางานทำในประเทศของตนได้ และกำลังมองหาโอกาสการทำงานในต่างแดน ประเทศไทย ถือเป็นจุดหมายปลายทางที่เหมาะสมทั้งในด้านภูมิศาสตร์ที่ใกล้ชิด วัฒนธรรมที่คล้ายคลึง และมีค่าจ้างที่สูงกว่า [7] ดังนั้นเมื่อความต้องการแรงงานของประเทศไทยสอดคล้องกับความจำเป็นในการหางานของแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน จึงส่งผลให้มีแรงงานต่างด้าวจำนวนมากเข้ามาทำงานภายในประเทศ เพื่อให้การบริหารจัดการเป็นระบบภาครัฐจึงมีการจำแนกประเภทของแรงงานต่างด้าวออกเป็นหมวดหมู่ต่าง ๆ ตามพระราชกำหนดและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 มาตรา 63/2 ระบุไว้ว่าแรงงานต่างด้าว ได้แก่ แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว   เมียนมา และเวียดนาม หรือเรียกรวมกันว่ากลุ่ม CLMV ที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร และอนุญาตให้ทำงานเป็นการชั่วคราวตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นกลุ่มแรงงานที่มีจำนวนมากที่สุดถึง 3,041,287 คน โดยประเภทงานที่แรงงานในกลุ่มประเทศ CLMV ได้รับอนุญาตให้ทำมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. กิจการก่อสร้าง จำนวน 333,643 ตำแหน่ง 2. การให้บริการ จำนวน 139,948 ตำแหน่ง และ 3. เกษตรและปศุสัตว์ จำนวน 121,981 ตำแหน่ง แสดงให้เห็นว่างานที่กลุ่ม CLMV ได้รับอนุญาตในการทำงานมากที่สุดนั้นล้วนเป็นงานหนัก งานเสี่ยง งานสกปรก หรืองานแบบ 3D ทั้งสิ้น โดยเฉพาะงานก่อสร้างซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้แรงกายมาก ทำงานกลางแจ้ง และมักอยู่ใน สภาพแวดล้อมที่เสี่ยงอันตรายและไม่ปลอดภัย ส่งผลให้แรงงานจากกลุ่มนี้ต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งทางร่างกายและสุขภาพมาโดยตลอด

จากข้อมูลข้างต้นแสดงให้เห็นว่าแรงงานต่างด้าวมีบทบาทสำคัญในการเติมเต็มช่องว่างของตลาดแรงงานไทย โดยเฉพาะในงานก่อสร้างซึ่งต้องอาศัยแรงงานที่มีความอดทนสูง ดังนั้น การมีอยู่ของแรงงานต่างด้าวเหล่านี้ จึงเปรียบเสมือน “แรงขับเคลื่อนเงียบ” ที่ช่วยผลักดันระบบเศรษฐกิจให้สามารถดำเนินไปได้อย่างมั่นคง อย่างไรก็ดี แม้จะมีบทบาทสำคัญแต่แรงงานต่างด้าวกลับเป็นกลุ่มที่มักถูกละเลยคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่มากที่สุด


03 – สภาพชีวิตความเป็นอยู่ สิทธิขั้นพื้นฐาน และความเปราะบางที่ต้องเผชิญ

แม้แรงงานต่างด้าวจะมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย แต่อีกด้านหนึ่งกลับมีแรงงานต่างด้าวจำนวนไม่น้อยที่มีสภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่มั่นคง โดยเฉพาะในกลุ่มที่ลักลอบเข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมาย ขณะเดียวกัน แม้แต่แรงงานต่างด้าวที่มีสถานะถูกต้องตามกฎหมาย ก็ยังคงเผชิญกับความเปราะบางในหลายมิติ ทั้งด้านความเป็นอยู่ สิทธิขั้นพื้นฐาน ตลอดจนการถูกตีตราและอคติจากสังคม ซึ่งในกลุ่มที่ไม่มีสถานะทางกฎหมาย ความเสี่ยงเหล่านี้ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นหลายเท่า

จากงานวิจัยของ อภิวรรณ ศิรินันทนา (2565) ได้วิเคราะห์ประเด็นปัญหาการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนของแรงงานต่างด้าว โดยระบุว่าแรงงานกลุ่มนี้ต้องเผชิญการละเมิดสิทธิในหลายรูปแบบ ตั้งแต่การถูกขูดรีดในระหว่างกระบวนการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานที่เต็มไปด้วยการขูดรีด เช่น การเสียค่านายหน้าเพื่อหลบหนีเข้าเมือง การทำงานในสภาพที่ไม่เหมาะสมและเสี่ยงอันตรายอย่างงาน 3D คือยาก ลำบาก และอันตราย จนลามไปถึงการตกเป็นเหยื่อของการใช้ความรุนแรง ซึ่งมีรากเหง้าส่วนหนึ่งจากปัญหาช่องว่างด้านภาษาและวัฒนธรรมระหว่างนายจ้างและแรงงาน นอกจากนี้ยังพบว่าแรงงานที่ไม่มีเอกสารหรือสถานะทางกฎหมายถูกเอาเปรียบหรือถูกเรียกรับผลประโยชน์จากเจ้าหน้าที่รัฐ และเผชิญกับการเลือกปฏิบัติบนฐานของชาติพันธุ์ [8] อย่างมาก

ขณะเดียวกัน สักกรินทร์ นิยมศิลป์ และ มาลี สันภูวรรณ์ (2557) ได้ศึกษาทัศนคติของคนไทยต่อแรงงานเมียนมาและผู้อพยพ ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าคนไทยที่อาศัยในพื้นที่ชายแดน ซึ่งใกล้ชิดกับแรงงานต่างด้าวมักมีทัศนคติในเชิงบวกมากกว่าผู้ที่อยู่ในชุมชนเมือง โดยผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ยังเห็นว่า แรงงานต่างด้าวที่ลงทะเบียนถูกต้องควรได้รับสิทธิพื้นฐาน เช่น บริการด้านสุขภาพและการคุ้มครองแรงงานเช่นเดียวกับแรงงานไทย 

งานวิจัยดังกล่าวยังสะท้อนถึงอีกด้านหนึ่งของทัศนคติของสังคมไทย โดยพบว่า มากกว่าครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าแรงงานต่างด้าวเป็นภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของตนเอง โดยเฉพาะแรงงานที่ไม่ได้ลงทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งมองว่าเป็นภัยคุกคามโดยตรง อีกทั้งยังมีความกังวลเรื่องการแข่งขันในตลาดแรงงาน โดยมากกว่า 60% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าแรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้ลงทะเบียนแย่งงานของคนไทย และแม้แต่แรงงานที่ลงทะเบียนถูกต้องก็ยังถูกมองว่าเป็น “คู่แข่ง” ในการทำงานของตนเช่นเดียวกัน [9]

ดังนั้นการเข้ามาทำงานของแรงงานต่างด้าวจำนวนมากจึงไม่ได้ส่งผลเฉพาะด้านเศรษฐกิจหรือแรงงานเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนไทยในหลายพื้นที่ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงด้านวัฒนธรรม วิถีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยกับแรงงานต่างด้าว ซึ่งก่อให้เกิดทัศนคติที่หลากหลาย ทั้งในแง่บวกที่สะท้อนความเข้าใจ การยอมรับ และความเห็นอกเห็นใจต่อแรงงานกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งก็ยังปรากฏทัศนคติเชิงลบ  ซึ่งเกิดจากความหวาดระแวง  ความไม่เข้าใจ ทำให้เกิดการสร้างภาพจำในเชิงลบเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าว หรือได้รับอิทธิพลจากข้อมูลที่บิดเบือนจากสื่อบางประเภท แม้จะมีทั้งมุมมองในแง่บวกและลบ แต่แนวโน้มของแรงงานต่างด้าวที่หลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทยยังคงเพิ่มขึ้น และยังส่งผลกระทบต่อสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง


04 – แนวโน้มการเข้ามาของแรงงานต่างด้าวและผลกระทบที่เกิดขึ้น

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาประเทศไทยมีแนวโน้มการเข้ามาของแรงงานต่างด้าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแรงงานไร้ฝีมือที่ต้องทำงานในลักษณะ งาน 3D โดยข้อมูลจากสำนักบริหารแรงงานต่างด้าวระบุว่าในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2558 ประเทศไทยมีแรงงานต่างด้าวจากกัมพูชา ลาว และเมียนมา รวมทั้งสิ้น 1,343,154 คน และเพิ่มขึ้นเป็น 3,789,389 คนในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2568 สะท้อนให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของแรงงานไร้ฝีมือกว่า 35% ภายในระยะเวลาเพียง 10 ปี [10] [11] 

แม้ว่าปัจจุบันจะเกิดเหตุการณ์ความตึงเครียดระหว่างชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นประเด็นที่ส่งผลต่อความรู้สึกของแรงงานกัมพูชาในประเทศไทย โดยเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2568 สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้ออกมาแสดงความกังวลผ่านโซเชียลมีเดีย พร้อมทั้งเรียกร้องให้แรงงานกัมพูชาที่ทำงานในไทยเดินทางกลับประเทศตนเอง  [12] อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว ณ เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2568 พบว่า จำนวนแรงงานกัมพูชาทั่วประเทศยังคงเพิ่มขึ้น 8,334 คน เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคมในปีเดียวกัน ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า แม้จะเกิดสถานการณ์ความไม่สงบระหว่างสองประเทศ แต่แรงงานกัมพูชาก็ยังเดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทย การหลั่งไหลเข้ามาของแรงงานต่างด้าว โดยเฉพาะจากประเทศเพื่อนบ้าน จึงยังเป็นปรากฏการณ์ที่มีความต่อเนื่อง และส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในหลายมิติ ทั้งด้านบวกและด้านลบ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเป็นสองด้านหลักที่ได้รับอิทธิพลอย่างชัดเจนจากการเคลื่อนย้ายแรงงาน 

นอกจากนี้ รายงานสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจการแรงงานระหว่างประเทศและการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างประเทศของกระทรวงแรงงาน ยังระบุว่า แรงงานต่างด้าวมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)  โดยเฉพาะในภาคเศรษฐกิจที่ใช้แรงงานอย่างเข้มข้น คือ ภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการ ที่มีส่วนช่วยในการผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งแง่ของการรักษาความสามารถในการแข่งขันระยะสั้นด้วยต้นทุนแรงงานต่ำ และช่วยควบคุมระดับเงินเฟ้อที่เกิดจากค่าจ้างหรือราคาสินค้าที่สูงขึ้น ในทางกลับกันการพึ่งพาแรงงานราคาถูกอย่างต่อเนื่องอาจนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำในระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเมื่อผู้ประกอบการบางกลุ่มได้กำไรส่วนเกินจากการแสวงหาประโยชน์จากการจ้างแรงงานไร้ฝีมือในอัตราค่าจ้างต่ำ 

แม้ว่าผลกระทบโดยรวมของแรงงานต่างด้าวต่อระดับค่าจ้างของแรงงานไทยจะอยู่ในระดับต่ำ เช่น ในกรณีที่จำนวนแรงงานต่างด้าวเพิ่มขึ้น 10% จะส่งผลให้ค่าจ้างเฉลี่ยลดลงเพียง 0.23% เท่านั้น แต่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็ยังคงเป็นแรงงานไทยไร้ฝีมือ ซึ่งต้องแข่งขันโดยตรงกับแรงงานต่างด้าว เพราะมีรายได้ที่ผูกกับอัตราค่าแรงขั้นต่ำที่สูงกว่าค่าแรงของแรงงานต่างด้าว [13] ทำให้ผู้ประกอบกรส่วนใหญ่มีแนวโน้มเลือกจ้างแรงงานต่างด้าวมากกว่าแรงงานไทย

จากข้อมูลที่กล่าวมาแสดงให้เห็นว่าแรงงานต่างด้าวได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจและสังคมไทย ทั้งในฐานะกลไกสำคัญที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระดับฐานรากและเป็นกำลังสำคัญในการทดแทนแรงงานไร้ฝีมือของไทยที่มีจำนวนลดลง อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาแรงงานต่างด้าวโดยขาดกลไกการกำกับดูแลที่เหมาะสมอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน


05บทส่งท้าย

แรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้านยังคงเป็นกลุ่มที่กำลังแรงงานสำคัญที่เข้ามาทดแทนงานที่แรงงานไทยไม่นิยมทำและยังคงหลั่งไหลเข้ามาในประเทศไทยในอัตราที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีบทบาทในการบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงานภายในประเทศ ซึ่งในปัจจุบันด้วยสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา แม้จะมีปัจจัยทางการเมืองหรือความไม่มั่นคงเกิดขึ้นเป็นระยะ แต่แรงงานต่างด้าวยังคงเดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญในการเข้ามาทำงานของแรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้าน และแรงงานกลุ่มนี้ยังมีบทบาทในภาคเศรษฐกิจของไทยที่ยังคงเปิดรับแรงงานเหล่านี้ 

อย่างไรก็ตาม แม้แรงงานต่างด้าวจะมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย แต่พวกเขายังต้องเผชิญกับปัญหาการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานและอคติจากสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการสร้างระบบบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะการควบคุมการลักลอบเข้าเมืองและการป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์จากนายหน้าและเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งการจัดการอย่างเป็นระบบไม่เพียงแต่จะช่วยคุ้มครองสิทธิของแรงงานต่างด้าวเท่านั้น แต่ยังช่วยลดอคติที่มีต่อแรงงานต่างด้าวให้สมกับเป็น ‘ฟันเฟือง’ สำคัญของเศรษฐกิจไทยอีกด้วย 

แพรวพรรณ ศิริเลิศ – บรรณาธิการ


อ่านข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง
สำรวจกระแสการเคลื่อนย้ายของแรงงานข้ามชาติ – เมื่อไทยอาจเผชิญปัญหา ‘ขาดแคลนแรงงาน’
อัตราค่าแรงขั้นต่ำปี 2564 ของประเทศอาเซียนเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ต่ำที่สุดในเอเชียและต่ำกว่าประเทศที่เศรษฐกิจพัฒนาแล้ว
ILO รายงานสภาพการทำงานภาคเกษตรไทย พร้อมชี้แรงงานข้ามชาติ ยังเผชิญการจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม
‘ทหารเด็ก’ เป็นแรงงานเด็กที่เลวร้ายที่สุด แต่ทั่วโลกมีเด็ก 1 ใน 8 คนในพื้นที่สงครามที่เสี่ยงต่อการถูกเกณฑ์
UN เผยแพร่ ‘รายงานการโยกย้ายถิ่นฐานของไทย’ ฉบับล่าสุด ชี้การเมืองและโควิด-19 ผลักคนย้ายถิ่นผ่านช่องทางไม่ปกติ

ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ
#SDG1 ขจัดความยากจน
– (1.3) ดำเนินการให้ทุกคนมีระบบและมาตรการการคุ้มครองทางสังคมในระดับประเทศที่เหมาะสม รวมถึงการคุ้มครองทางสังคมขั้นพื้นฐานและบรรลุการครอบคลุมถึงกลุ่มที่ยากจนและเปราะบาง ภายในปี 2573
#SDG8 งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
– (8.1) ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจต่อหัวประชากรมีความยั่งยืนตามบริบทของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของประเทศพัฒนาน้อยที่สุด มีการขยายตัวอย่างน้อยร้อยละ 7 ต่อปี
– (8.8) ปกป้องสิทธิแรงงานและส่งเสริมสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยและมั่นคงสำหรับผู้ทำงานทุกคน รวมถึงผู้ทำงานต่างด้าว โดยเฉพาะหญิงต่างด้าว และผู้ที่ทำงานเสี่ยงอันตราย
#SDG10 ลดความเหลื่อมล้ำ
– (10.3) สร้างหลักประกันว่าจะมีโอกาสที่เท่าเทียมและลดความไม่เสมอภาคของผลลัพธ์ รวมถึงการขจัดกฎหมาย นโยบาย และแนวทางปฏิบัติที่เลือกปฏิบัติ และส่งเสริมการออกกฎหมาย นโยบาย และการปฏิบัติที่เหมาะสมในเรื่องนี้
– (10.7) อำนวยความสะดวกในการโยกย้ายถิ่นฐานและเคลื่อนย้ายของคนให้เป็นระเบียบ ปลอดภัย ปกติ และมีความรับผิดชอบ รวมถึงให้การดำเนินงานเป็นไปตามนโยบายด้านการอพยพที่มีการวางแผนและการจัดการที่ดี
#SDG16 ความสงบสุข ยุติธรรม และสถาบันที่เข้มแข็ง
– (16.2) ยุติการข่มเหง การแสวงหาประโยชน์อย่างไม่ถูกต้อง การค้ามนุษย์ และความรุนแรงและการทรมานทุกรูปแบบที่มีต่อเด็ก
– (16.3) ส่งเสริมหลักนิติธรรมทั้งในระดับชาติและระหว่างประเทศ และสร้างหลักประกันว่าทุกคนสามารถเข้าถึงความยุติธรรมอย่างเท่าเทียม
– (16.5) ลดการทุจริตในตำแหน่งหน้าที่และการรับสินบนทุกรูปแบบ
– (16.6) พัฒนาสถาบันที่มีประสิทธิผล มีความรับผิดชอบ และโปร่งใสในทุกระดับ
– (16.b) ส่งเสริมและบังคับใช้กฎหมายและนโยบายที่ไม่เลือกปฏิบัติเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

เอกสารอ้างอิง
[1] จรัมพร โห้ลำยอง. (2559). แรงงานข้ามชาติที่ไม่อาจละทิ้ง: ทรรศนะทางเศรษฐศาสตร์ ของการเลือกปฏิบัติในตลาดแรงงาน. สืบค้นจาก https://ipsr.mahidol.ac.th/wp-content
[2] สำนักบริหารแรงานต่างด้าว. (2563). สถิติจำนวนคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงาน คงเหลือทั่วราชอาณาจักร ประจำเดือน มีนาคม 2563. สืบค้นจาก https://www.doe.go.th
[3] พระราชกําหนด การบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560. (2560, 22 มิถุนายน). ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 134 ตอนที่ 65 ก. หน้า 1.
[4] สำนักบริหารแรงานต่างด้าว. (2568). มิ.ย.68 สถิติจำนวนคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงาน ทั่วราชอาณาจักร. สืบค้นจาก https://www.doe.go.th/prd/assets/upload/files/alien_th
[5] สำนักบริหารแรงานต่างด้าว. (2568). วารสารสถิติจำนวนคนต่างด้าว มิ.ย.68 กลุ่มประเทศอาเซียนที่ได้รับอนุญาตทำงาน. สืบค้นจาก https://www.doe.go.th/prd/assets/upload/files/alien_th
[6] ชมนาถ นิตตะโย, โสภณ ธัญญาเวชกิจ, บวรวิชญ์ จินดารักษ์, นันทนิตย์ ทองศรี. (2563). เปิดข้อเท็จจริงแรงงานต่างด้าวในไทย: ตอนที่ 1 แรงงานทักษะต่ำ. สืบค้นจาก https://www.pier.or.th/abridged
[7] Nathaphob Sungkate. (2568). เศรษฐศาสตร์แรงงานข้ามชาติ ไทยได้และเสียอะไร จากการพึ่งพิงแรงงานไร้ฝีมือ. สืบค้นจาก https://workpointtoday.com
[8] อภิวรรณ  ศิรินันทนา. (2565). แรงงานต่างด้าวกับการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน. สืบค้นจาก https://so02.tci-thaijo.org/index.php
[9] สักกรินทร์ นิยมศิลป์ และ มาลี สันภูวรรณ์. (2557). The Survey of Thai Public Opinion toward Myanmar Refugees and Migrant Workers: An Overview. from https://ipsr.mahidol.ac.th
[10]  สำนักบริหารแรงานต่างด้าว. (2558). วารสารสถิติจำนวนคนต่างด้าวกลุ่มประเทศอาเซียนได้รับอนุญาตทำงาน ประจำเดือนพฤษภาคม 2558. สืบค้นจาก https://www.doe.go.th/prd/assets/upload/files/alien_th
[11] สำนักบริหารแรงานต่างด้าว. (2568). วารสารสถิติจำนวนคนต่างด้าวกลุ่มประเทศอาเซียนได้รับอนุญาตทำงาน ประจำเดือนพฤษภาคม 2568. สืบค้นจาก https://www.doe.go.th/prd/assets/upload/files/alien_th
[12] The Active. (2568). แนะไทยเปลี่ยนเกม หลัง “ฮุนเซน” ดึงแรงงานกลับกัมพูชา. สืบค้นจาก https://theactive.thaipbs.or.th
[13] กองเศรษฐกิจการแรงงาน สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน. (2564). รายงานสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจการแรงงานระหว่างประเทศและการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างประเทศ. สืบค้นจาก https://warning.mol.go.th

Author

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็นและรายละเอียดของท่านจะถูกเก็บเป็นความลับและใช้เพื่อการพัฒนาการสื่อสารองค์ความรู้ของ SDG Move เท่านั้น
* หมายถึง ข้อมูลที่จำเป็น