วันที่ 16 กันยายน 2568 GreenNews เปิดเผยว่า ตัวแทนครือข่ายภาคประชาสังคมไทย ประกอบด้วย 5 องค์กรที่ขับเคลื่อนสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ องค์กรแอคเคาท์ทะบิลิตี้ เคาน์เซล/ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย/ กรีนพีซ ประเทศไทย/ มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม/ มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน และคณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล ร่วมกับ ตัวแทนภาคประชาชนกว่า 40 คน จาก 10 ชุมชน ได้หารือกับคณะทำงานด้านธุรกิจและสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ต่อประเด็นการขับเคลื่อน “หลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UN Guiding Principles on Business and Human Rights: UNGPs)” และ “แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (National Action Plan, NAP)” ในไทยให้เป็นรูปธรรม
ตัวแทนชุมชนสะท้อนปัญหาและข้อกังวลเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม เช่น
- ชุมชนขาดการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและกำหนดแนวทางการพัฒนาพื้นที่ตนเอง
- กระบวนการมีส่วนร่วมในโครงการพัฒนาต่าง ๆ ยังขาดความโปร่งใสและขาดการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน
- กระบวนรับฟังความเห็นเป็นเหมือนตรายางนโยบายรัฐที่เอื้อประโยชน์แก่ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม
- ประชาชนและประชาสังคมต้องเผชิญกับการคุกคามการฟ้องปิดปาก (SLAPP)
- หลายปัญหาที่เกิดขึ้นมีต้นสายปลายเหตุจากนโยบายและกฎหมายของรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เช่น กฎหมายที่สนับสนุนโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ด้าน สุเมธ เหรียญพงษ์นาม ตัวแทนชาวบ้านจากจังหวัดปราจีนบุรี และเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากกากมลพิษและกากอุตสาหกรรมภาคตะวันออก กล่าวว่า “รัฐบาลจำเป็นต้องทบทวนและกำหนดมาตรการใหม่อย่างจริงจังโดยเฉพาะการยกเลิกการผ่อนปรนวีซ่าให้กับกลุ่มทุนที่เข้ามาก่อผลกระทบ สถาบันทางการเงินต้องควบคุมแหล่งเงินทุนที่สนับสนุนการลงทุนของทุนจีนในธุรกิจที่ก่อมลพิษและการออกกฎหมายคุ้มครองสิทธิประชาชนที่ลุกขึ้นมาต่อต้านและตรวจสอบการลงทุนเหล่านี้เพื่อให้เกิดการบังคับใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ หากรัฐบาลไม่เร่งดำเนินการ ปัญหามลพิษและความเดือดร้อนจากทุนจีน โรงงานขยะจะยิ่งรุนแรงขึ้น และกลายเป็นวิกฤติด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคตะวันออกของไทย”
ทั้งนี้ ภายหลังการหารือ เครือข่ายชุมชนและภาคประชาสังคมติดตามสถานการณ์ธุรกิจและสิทธิมนุษยชน ได้ยื่น 7 ข้อเรียกร้องต่อ ดร.พิชามญชุ์ เอี่ยวพานทอง ประธานคณะทำงานแห่งสหประชาชาติด้านธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน รายละเอียดดังนี้
- ภาครัฐต้องกำหนดให้การจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EIA/EHIA) ดำเนินการโดยองค์กรอิสระ ภายใต้การกำกับของสถาบันที่เป็นกลางและอิสระปราศจาคผลประโยชน์ทับซ้อน โดยต้องจัดทำข้อมูลพื้นฐานและการประเมินผลกระทบสะสม (Cumulative Impacts) อย่างรอบด้าน พร้อมกำหนดบทลงโทษชัดเจนต่อผู้ที่จัดทำรายงานบิดเบือนหรือปลอมแปลง
- รัฐต้องจัดให้มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส และรับประกันว่ากระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนจะนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโนบายที่แท้จริง
- ธนาคารและนักลงทุนต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม โดยการกำหนดให้มีระบบการตรวจสอบและติดตามอย่างต่อเนื่อง รวมถึงต้องมีการเปิดเผยข้อมูลการให้สินเชื่อและการลงทุนอย่างโปร่งใส เพื่อสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
- ภาคธุรกิจต้องจัดตั้งกองทุนกลางเพื่อการเยียวยาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน โดยใช้เงินสมทบจากภาคธุรกิจภายใต้หลักผู้ก่อมลพิษต้องจ่าย ผ่านกลไกการกำกับดูแลของภาคประชาชน รวมถึงการจัดทำประกันภัยเพื่อจ่ายชดเชยโดยตรงแก่ผู้ได้รับผลกระทบ เพื่อให้การเยียวยาเกิดขึ้นจริงและเป็นรูปธรรม และเป็นธรรม โดยที่ผู้ได้รับผลกระทบต้องสามารถเข้าถึงและใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอผลการพิสูจน์ความเสียหาย ภาระการพิสูจน์ความเสียหายและค่าชดเชยต้องไม่ตกแก่ผู้ได้รับผลกระทบ
- รัฐต้องยกเลิกนโยบายและกฎหมายที่ลดทอนการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสิทธิชุมชน เช่น ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี คำสั่ง คสช. ที่ 4/2559 และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ พร้อมทั้งยกเลิกกฎหมายและแนวนโยบายการพัฒนาในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษที่ไม่สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนและมาตรฐานสากล
- รัฐบาลต้องออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน จัดตั้งกองทุนเฉพาะเพื่อคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และอบรมเจ้าหน้าที่รัฐให้ตระหนักและเข้าใจบทบาทหน้าที่ในการปกป้องสิทธิของประชาชน
- รัฐต้องมีกลไกการตรวจสอบย้อนกลับตลอดห่วงโซ่คุณค่า และนโยบายที่กำหนดให้บริษัทแม่และบริษัทในเครือรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ และส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษและผลกระทบข้ามพรมแดนอย่างจริงจัง
● อ่านข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง
– SDG Updates | สรุปเสวนา “ขยะพิษจากอุตสาหกรรมส่งผลต่อชีวิตและการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างไร ?”
– SDG Spotlight – 5 ข่าว SDGs น่าสนใจในรอบสัปดาห์ที่ 3 ประจำเดือนพฤศจิกายน 2566
– เครือข่ายรักษ์พะโต๊ะฯ เข้าพบนายกฯ เสนอ 4 ข้อให้ทบทวนและปรับเปลี่ยนแนวทางโครงการแลนด์บริดจ์ หวังความครอบคลุม เป็นธรรม และยั่งยืนมากขึ้น
– จังหวัดปาปัวตะวันตกคงความอุดมสมบูรณ์ทางทะเลได้ดีขึ้น เพราะการกำหนดพื้นที่คุ้มครองและบทบาทนำของชุมชนรอบชายฝั่ง
– ชาวประมงพื้นบ้านล่องเรือจากปัตตานีถึง กทม. ติด #ทวงน้ำพริกปลาทู เรียกร้องทุกภาคส่วนหยุดจับ-ซื้อ-ขาย สัตว์น้ำวัยอ่อน
– เครือข่ายประชาชนทวงคืนชายหาด แถลงการณ์ประณามกรมโยธาฯ ทำลายชายหาด พร้อมยื่น 3 ข้อเรียกร้องเกี่ยวกับโครงการกำแพงกันคลื่น
– SDG Updates | สรุปเสวนา “ขยะพิษจากอุตสาหกรรมส่งผลต่อชีวิตและการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างไร ?”
ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ
#SDG8 งานที่มีคุณค่า และการเติบโตทางเศรษฐกิจ
– (8.4) ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรของโลกในการบริโภคและการผลิตอย่างต่อเนื่อง และพยายามที่จะแยกการเติบโตทางเศรษฐกิจออกจากความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นไปตามกรอบการดำเนินงาน 10 ปี ว่าด้วยการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน โดยมีประเทศที่พัฒนาแล้วเป็นผู้นำในการดำเนินการไปจนถึงปี พ.ศ. 2573
#SDG12 การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน
– (12.2) บรรลุการจัดการที่ยั่งยืนและการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ภายในปี 2573
– (12.4) บรรลุเรื่องการจัดการสารเคมีและของเสียทุกชนิดตลอดวงจรชีวิตของสิ่งเหล่านั้นด้วยวิธีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศที่ตกลงกันแล้ว และลดการปลดปล่อยสิ่งเหล่านั้นออกสู่อากาศ น้ํา และดิน อย่างมีนัยสําคัญ เพื่อจะลดผลกระทบทางลบต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุดภายในปี2563
– (12.5) ภายในปี 2573 จะต้องลดการเกิดของเสียโดยให้มีการป้องกัน การลดการแปรรูป เพื่อนํากลับมาใช้ใหม่ และการนํากลับมาใช้ซ้ำ
#SDG16 สังคมสงบสุข ยุติธรรม และสถาบันเข้มแข็ง
– (16.6) พัฒนาสถาบันที่มีประสิทธิผล มีความรับผิดชอบ และโปร่งใสในทุกระดับ
– (16.7) สร้างหลักประกันว่าจะมีกระบวนการตัดสินใจที่มีความรับผิดชอบ ครอบคลุม มีส่วนร่วม และมีความเป็นตัวแทนที่ดี ในทุกระดับการตัดสินใจ
#SDG17 ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
– (17.14) ยกระดับความสอดคล้องเชิงนโยบายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
แหล่งที่มา : 7 ข้อเรียกร้อง “รัฐบาล-ธุรกิจ กับการละเมิดสิทธิ” เวทีประชาสังคมไทย-ยูเอ็น (GreenNews)