SDG Insights | ธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมในยุค ‘ขยะล้นเมือง’ :  ทางออกที่ยั่งยืนอยู่ที่พลังการมีส่วนร่วมของประชาชน

 ผศ. ดร.ลดาวัลย์ ไข่คำ
คณะสังคมศาสตร์ 
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เมืองหลายแห่งในประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะปัญหา “ขยะล้นเมือง” ที่เกิดขึ้นในเขตเมืองขนาดใหญ่ ซึ่งเกิดจากการขยายตัวของประชากรและกิจกรรมเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว เห็นได้จากปริมาณขยะมูลฝอยในเขตเทศบาลที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี ขณะที่ศักยภาพในการจัดเก็บ คัดแยก และการกำจัดขยะยังคงล้าหลัง ปัญหานี้สะท้อนให้เห็นถึง “วิกฤตเชิงโครงสร้าง” ที่เรียกได้ว่าเป็นความล้มเหลวของกลไกรัฐในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน โปร่งใส และมีความรับผิดต่อสาธารณะ

ดังนั้น ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมในเมือง (Urban Environment) จึงไม่ได้หมายถึงเพียงภูมิทัศน์หรือทรัพยากรที่ต้องรักษา แต่คือพื้นฐานของ คุณภาพชีวิต ของพลเมืองในเมืองทุกคน ตั้งแต่ความสะอาดของชุมชน อากาศที่บริสุทธิ์ การจัดการกลิ่นและของเสีย การมีสุขภาวะจิตใจที่ดีและการมีพื้นที่สีเขียว เช่นนั้นหากระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมล้มเหลว ก็ย่อมหมายถึงการลดทอนสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของประชาชนในการดำรงชีวิตประจำวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในบริบทนี้ ดังนั้นแนวคิด “ธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม” จึงมีความสำคัญในการวิเคราะห์โครงสร้างการจัดการขยะในเมือง เพราะธรรมาภิบาลไม่ใช่เพียงประสิทธิภาพ แต่ยังรวมถึงความโปร่งใส (transparency) ความรับผิดชอบ (accountability) และการมีส่วนร่วมของประชาชน (participation) โดยตรง ตั้งแต่การออกแบบนโยบาย การติดตามผล ไปจนถึงการดำเนินการในพื้นที่ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการสร้างธรรมาภิบาลที่แท้จริง 

SDG Insights ฉบับนี้ จึงต้องการสำรวจระบบการจัดการขยะในประเทศไทยผ่านมุมมองด้านธรรมาภิบาล และตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ของ “การมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ไขวิกฤตขยะล้นเมืองภายใต้กรอบธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม” โดยชี้ให้เห็นว่าปัญหาขยะล้นเมือง ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาทางกายภาพหรือเชิงเทคนิคเท่านั้น หากแต่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบการบริหารจัดการภาครัฐ พร้อมทั้งนำเสนอปัจจัยสนับสนุนหลักที่จำเป็นต่อการส่งเสริมการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เพื่อผลักดันให้เกิดผลในเชิงนโยบายที่ยั่งยืนและสะท้อนบริบทของประเทศไทย


01 – ภาพรวมวิกฤตขยะล้นเมือง : ปัญหาที่กำลังกลายเป็นความปกติใหม่ 

ในยุคของการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว เมืองได้กลายเป็นศูนย์กลางของประชากร ด้านนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และพฤติกรรมการบริโภคที่ยกระดับตามความมั่งคั่งของประชากรและความหนาแน่นของชุมชนเมือง ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้นในรูปแบบต่าง ๆ  ไม่ว่าจะเป็นขยะมูลฝอย น้ำทิ้ง และขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยงานวิจัยล่าสุดในวารสาร Nature Cities ชี้ให้เห็นว่าความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัว (GDP per capita) กับปริมาณขยะที่ผลิตต่อจำนวนประชากร กล่าวคือ เมืองที่มีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจมากกว่ามักผลิตขยะในปริมาณสูงกว่าด้วย [1]

พลวัตของขยะในเมืองสะท้อนความซับซ้อนของการพัฒนาเมืองแบบเร่งรัด ขยะมูลฝอยจะเพิ่มขึ้นแบบสัดส่วนตรง (linear scaling) กับจำนวนประชากร ขณะที่น้ำเสียจะเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด (superlinear scaling) หมายความว่า หากเมืองขยายตัวเพียงหนึ่งหน่วย น้ำเสียจะเพิ่มขึ้นมากกว่าหนึ่งหน่วย ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดการขยะและน้ำเสียในเมืองไม่สามารถรองรับการเติบโตของเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัญหาขยะล้นเมืองจึงไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะ “ปริมาณขยะที่มากเกินไป” เท่านั้น หากแต่เกิดจากการขาดความสามารถในการจัดการที่ยืดหยุ่นและตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของเมือง โดยเฉพาะการขาดระบบแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง การขาดแรงจูงใจที่เพียงพอในการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค และการบริหารจัดการที่ยังยึดติดกับรูปแบบ “ใช้แล้วทิ้ง” มากกว่าระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy) [2] ผลกระทบจากการจัดการขยะที่ไม่เหมาะสมตอกย้ำให้เห็นถึงความเปราะบางของโครงสร้างเมือง ขยะที่ถูกทิ้งโดยไม่มีการจัดการที่มีประสิทธิภาพก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ น้ำ และดิน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนโดยตรง ทั้งในรูปแบบของกลิ่นเหม็น การปนเปื้อนในแหล่งน้ำดื่ม และการสะสมของสารพิษในระบบนิเวศ ซึ่งไม่เพียงแต่บั่นทอนคุณภาพชีวิตของผู้คน แต่ยังบ่อนทำลาย “ความน่าอยู่” และภาพลักษณ์ของเมือง 

ดังนั้น ปัจจุบันในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ปัญหาขยะล้นเมือง จึงกำลังกลายเป็นความปกติใหม่ (new normal) ที่สะท้อนถึงวิกฤตเชิงโครงสร้างซึ่งดำเนินอยู่อย่างเงียบ ๆ และต่อเนื่อง หากไม่มีการเร่งทบทวนระบบธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม (Environmental Governance) ให้ตอบรับกับพลวัตของเมืองสมัยใหม่อย่างจริงจัง การแก้ไขปัญหานี้ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์


02 – ขยะล้นเมืองและระบบการจัดการในบริบทไทย

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตขยะล้นเมืองอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเขตเมืองที่มีความหนาแน่นของประชากรและอัตราการบริโภคสูง จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษปี พ.ศ. 2566 พบว่า ประเทศไทยมีปริมาณขยะมูลฝอยรวมประมาณ 26.95 ล้านตันต่อปี หรือเฉลี่ย 73,840 ตันต่อวัน ซึ่งเท่ากับ 1.12 กิโลกรัมต่อคนต่อวัน ขณะที่ในปี พ.ศ. 2563 มีขยะตกค้างมากถึง 7.88 ล้านตัน หรือราว 31% ของปริมาณขยะทั้งหมด [3] โดยกรุงเทพมหานคร ถือเป็นเมืองที่มีปริมาณขยะมากที่สุด มีการจัดเก็บเฉลี่ยอยู่ที่ 12,748 ตันต่อวัน ตามด้วยเมืองใหญ่ เช่น สมุทรปราการ ชลบุรี นครราชสีมา และนนทบุรี ข้อมูลนี้สอดคล้องกับแนวโน้มที่ว่าเมืองที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจมากกว่ามักก่อให้เกิดขยะในปริมาณสูงกว่า ทำให้ภาคกลางมีปริมาณขยะสูงสุด รองลงมาคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใต้ ตะวันออก เหนือ และตะวันตก ตามลำดับ [4]

สาเหตุสำคัญของปัญหาขยะล้นเมืองเกิดได้หลายปัจจัย เช่น รูปแบบการบริโภคของประชาชนในเมืองที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากวิกฤติโควิด-19 การบริโภคเชิงเดี่ยวที่ใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกจำนวนมาก ไม่มีระบบแยกขยะที่ต้นทาง และข้อจำกัดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่มีบทบาทหลักในการจัดการขยะ แต่กลับขาดทรัพยากรทั้งในด้านงบประมาณ บุคลากร และเทคโนโลยี ขณะที่ภาครัฐส่วนกลางมีแผนแม่บทและนโยบายการจัดการขยะที่ชัดเจน โดยมีหน่วยงานหลักคือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะกรมควบคุมมลพิษ ที่มีหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนแม่บทระดับประเทศ เช่น “แผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะของประเทศ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2565 – 2570)” ซึ่งมุ่งเน้นการลด คัดแยก และใช้ประโยชน์จากขยะตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง จนถึงปลายทาง ภายใต้ความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน และประชาชน ภายใต้กรอบการดำเนินงานตามกฎหมายควบคุมสิ่งแวดล้อม [5]

อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานของภาครัฐยังคงมีลักษณะแบบรวมศูนย์และไม่ยืดหยุ่นต่อความหลากหลายในบริบทท้องถิ่น ซึ่งเน้นไปที่การออกข้อกำหนดเชิงนโยบายมากกว่าการลงไปกำกับดูแลหรือสนับสนุนท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด ส่งผลให้ขาดกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนและขาดความโปร่งใสในการดำเนินการ เช่น ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลปริมาณขยะ การจัดซื้อจัดจ้างที่ตรวจสอบได้ยาก และขาดระบบการประเมินผลจากประชาชนในพื้นที่ เป็นต้น [6]

ในทางการเมือง ปัญหาขยะล้นเมืองส่งผลกระทบในระดับโครงสร้างเมืองและการวางผังเมืองอย่างลึกซึ้ง ทั้งมิติทางกายภาพของพื้นที่เมือง คุณภาพชีวิต สุขภาวะสาธารณะ และการจัดการเมืองอย่างเป็นระบบ โดยเมืองต้องจัดสรรพื้นที่สำหรับฝังกลบหรือกองเก็บขยะ ส่งผลต่อการใช้ที่ดินในเชิงพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ ปริมาณขยะที่มหาศาลขัดขวางทางสัญจร เป็นอุปสรรคต่อระบบสาธารณูปโภค และยังส่งผลต่อภาพลักษณ์เมืองในเชิงเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ขยะกลายเป็นภาระด้านงบประมาณของท้องถิ่นที่ต้องใช้ในการขนย้าย กำจัด และฟื้นฟูพื้นที่เสียหาย

ในทางปฏิบัติ ขยะกลับถูกมองว่าเป็นเพียง “เรื่องปลายทาง” และภารกิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเท่านั้น พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ให้อำนาจหน้าที่แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในการ “จัดเก็บ” และ “จัดการ” ขยะภายในพื้นที่ของตน ไม่ว่าจะเป็นการจัดเส้นทางเก็บขยะ จัดหารถขนขยะ หรือทำสัญญาจ้างเอกชน แต่กฎหมายจัดตั้ง อปท. ไม่ได้กำหนดรายละเอียดขั้นตอนในการจัดการ และไม่ได้กำหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดการขยะแต่ประการใด แม้จะมีการรณรงค์ให้คัดแยกขยะ แต่ปัจจุบันยังคงอยู่ในรูปแบบการเชิญชวนเท่านั้น ไม่มีสภาพบังคับ ไม่เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างจริงจัง และไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง [7] แต่การให้ อปท. เป็นเพียงหน่วยงานเดียวในการจัดการขยะกลับนำไปสู่การละเลยต่อการวางแผนเชิงป้องกันในระดับนโยบาย เช่น การส่งเสริมการลดใช้ขยะที่ต้นทาง การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ หรือการวางระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเป็นรูปธรรม 

นอกจากนี้ อปท. ต้องเผชิญกับอุปสรรคสำคัญ คือข้อจำกัดด้านงบประมาณ เทคโนโลยี และบุคลากร รวมถึงความรู้ด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ อปท.จำนวนมากเลือก “จ้างเหมาบริการ” หรือการจ้างหน่วยงานเอกชน/บุคคล มาให้บริการ แบบมีกำหนดเวลาและขอบเขตงาน โดยไม่ถือเป็นพนักงานของรัฐ ทำให้ขาดระบบติดตาม ตรวจสอบ หรือประเมินผลอย่างเป็นระบบ อุปสรรคเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าวิกฤตขยะล้นเมืองไม่อาจแก้ไขได้โดยมองเพียงมิติของเทคนิคหรือการจัดเก็บ หากแต่จำเป็นต้องทบทวนถึงโครงสร้างธรรมาภิบาลด้านสิ่งแวดล้อมในระดับเชิงลึก และพิจารณาการออกแบบนโยบายที่เปิดพื้นที่ให้เกิดหลักธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม เพื่อรับมือกับวิกฤตขยะล้นเมือง โดยต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางอย่างแท้จริง [8]


03 – กรอบแนวคิดธรรมาภิบาลในการจัดการสิ่งแวดล้อม

แนวคิด “ธรรมาภิบาล” (Good Governance) สามารถอธิบายการบริหารจัดการภาครัฐหรือองค์กรสาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และยึดโยงกับประชาชน โดยมีจุดเน้นที่ “วิธีการปกครอง” ไม่ใช่เพียงแค่ “ผลลัพธ์ของนโยบาย” แนวคิดนี้เกิดขึ้นจากองค์กรระหว่างประเทศ โดยเฉพาะ ธนาคารโลก (World Bank) และ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme: UNDP) ที่พยายามปรับปรุงระบบราชการโดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาให้ตอบสนองต่อปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน [9][33]

ตามคำอธิบายของ UNDP (1997) ธรรมาภิบาลที่ดีมีองค์ประกอบหลัก 5 ประการ ได้แก่ (1) การมีส่วนร่วม (Participation) ซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีบทบาทในการกำหนดนโยบายและติดตามการดำเนินงาน (2) ความโปร่งใส (Transparency) ซึ่งเป็นการเปิดเผยข้อมูลอย่างครบถ้วนและสามารถเข้าถึงได้ (3) ความรับผิดชอบ (Accountability) ของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ต้องรับผิดชอบต่อผลลัพธ์และการกระทำของตน (4) หลักนิติธรรม (Rule of Law) ที่ต้องมีกฎหมายที่เป็นธรรมและบังคับใช้อย่างเท่าเทียม และ (5) ความมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล (Effectiveness & Efficiency) ในการใช้ทรัพยากรสาธารณะให้เกิดประโยชน์สูงสุด [10]

จากนั้นแนวคิดนี้ถูกนำมาใช้ในบริบท “ธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม” (Environmental Governance) เพื่อเข้าใจถึงวิธีการที่มนุษย์บริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน [11] เน้นการจัดการทรัพยากรธรรมชาติผ่านกลไกที่หลากหลายและไม่รวมศูนย์ กรอบการดำเนินการร่วมกัน (framework for collective action) กลุ่มต่าง ๆ ที่หลากหลายในสังคม และเป็นโครงสร้างทางปัญญา (intellectual scaffolding) ระหว่างภาคประชาชน ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคมที่มีสิทธิในการกำหนดอนาคตร่วมกัน [12]

โดยในหนังสือ Environmental Governance (2024) Evans และ Thomas ได้อธิบายหัวใจสำคัญของธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมว่าเป็นการเปลี่ยนแนวทางจากเดิมที่เน้นบทบาทของภาครัฐเพียงด้านเดียวไปสู่การมีส่วนร่วมของกลุ่มต่าง ๆ ที่หลากหลายนอกเหนือจากรัฐ (actors beyond the state) เช่น ธุรกิจ องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) องค์กรภาครัฐต่าง ๆ และประชาชนทั่วไป เครือข่ายการปกครอง (Network governance) โดยเน้นการทำงานร่วมกันโดยสมัครใจเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน [13] นั้นเป้าหมายหลักของธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม คือการอนุรักษ์ การประสานงาน และการดำเนินงานร่วมกัน ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ เพื่อจัดการปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ธรรมาภิบาลจึงเป็นกรอบแนวคิดสำคัญในการกำหนดเป้าหมายหรือจุดประสงค์ร่วมกัน เพื่อให้กลุ่มต่าง ๆ สามารถคิดค้นวิธีการดำเนินการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตนในการบรรลุเป้าหมายเหล่านั้นมากกว่าการกำหนดเนื้อหาหรือผลลัพธ์ที่ตายตัวเพียงหนึ่งเดียว [14]


04 – โครงสร้างการจัดการขยะ: ข้อจำกัดด้านธรรมาภิบาล

แม้ว่าธรรมาภิบาลจะเป็นกระบวนการที่กว้างขวางและยืดหยุ่น เปิดกว้างให้กลุ่มต่าง ๆ นอกเหนือจากรัฐ สามารถจัดการปัญหาที่ซับซ้อน ผ่านความร่วมมือ กระบวนการที่มีความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของแต่ละภาคส่วน อย่างไรก็ตาม Evans และ Thomas (2024) ระบุข้อจำกัดและความท้าทายของธรรมาภิบาลในการจัดการขยะ ได้แก่ ความท้าทายในการทำให้เกิดการดำเนินการร่วมกัน การเน้นกระบวนการที่ไร้ทิศทางหากขาดค่านิยมและวิสัยทัศน์ ข้อจำกัดของกฎเกณฑ์แบบดั้งเดิมในบริบทที่ซับซ้อน ดังนี้

  1. ความท้าทายในการทำให้เกิดการดำเนินการร่วมกัน: การจัดการขยะต้องการความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน ตั้งแต่ครัวเรือน ภาคธุรกิจ อปท. ภาครัฐส่วนกลาง และภาคประชาสังคม ซึ่งย่อมมีความขัดแย้งในการทำงานร่วมกัน ได้แก่ การลดขยะ การแยกขยะ การจัดการของเสียอย่างยั่งยืน ขณะที่ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมักเป็น “ความผิดของทุกคน แต่ไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง” ดังปรากฏการณ์ “โศกนาฏกรรมของทรัพยากรร่วม” (Tragedy of the Commons) ตามแนวคิดของ Garrett Hardin (1968) ที่อธิบายว่า ทุกคนต่างแสวงหาประโยชน์ส่วนตน ใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือยและเกินขีดจำกัด โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบส่วนรวม ส่งผลให้ทรัพยากรเหล่านั้นเสื่อมโทรมหรือหมดสิ้นในที่สุด [15]
  2. การเน้นกระบวนการที่ไร้ทิศทางหากขาดค่านิยมและวิสัยทัศน์: ธรรมาภิบาลที่เน้นวิธีการ (how things should be done) มากกว่าสิ่งที่ควรทำ (what should be done) มักมีโอกาสที่จะไม่ประสบความสำเร็จ เช่น หากการจัดการขยะเน้นเพียงแค่การสร้างกฎเกณฑ์ ขั้นตอน หรือเครือข่าย โดยปราศจากวิสัยทัศน์ ค่านิยม เป้าหมายที่ชัดเจน หรือการยอมรับร่วมกัน โครงสร้างธรรมาภิบาลนั้นอาจไร้ทิศทาง หรือถูกใช้เพื่อรักษาผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม แทนที่จะนำไปสู่การจัดการขยะที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง [16]
  3. ข้อจำกัดของกฎเกณฑ์เดิมในบริบทใหม่ที่ซับซ้อน: การจัดการขยะมีความซับซ้อนและหลากหลายตามบริบท เช่น ครัวเรือน ชุมชน เมือง อุตสาหกรรม เป็นต้น กฎเกณฑ์ที่กำหนดวิธีการปฏิบัติอย่างเข้มงวดมากเกินไป และกฎระเบียบแบบ “สั่งการและควบคุม” ที่ตายตัว มักล้มเหลวในการจัดการปัญหาขยะ เนื่องจากไม่สามารถรองรับความต้องการที่หลากหลายของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและบริบทที่แตกต่างกันได้ ดังนั้นธรรมาภิบาลจึงมักเน้นการตัดสินใจร่วมกัน เพื่อเปิดพื้นที่ให้มีการปรับเปลี่ยนตามบริบทหรือการตัดสินใจร่วมกันในการแก้ปัญหาที่หลากหลายและซับซ้อน [17]

โดยในบริบทประเทศไทย ระบบการจัดการขยะมีโครงสร้างความรับผิดชอบภายใต้หน่วยงานหลัก 3 หน่วยงาน ได้แก่ (1) อปท. ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการเก็บขนและกำจัดขยะ (2) กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีบทบาทในการวางนโยบายระดับประเทศ และ (3) ภาคเอกชน ที่เข้ามามีส่วนร่วมในฐานะผู้รับจ้างจัดเก็บและกำจัดขยะภายใต้รูปแบบความร่วมมือรัฐ-เอกชน อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่น แต่ความเป็นจริงกลับสะท้อนความล้มเหลวเชิงโครงสร้าง ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความโปร่งใส และการมีส่วนร่วมของประชาชน [18]

ข้อจำกัดสำคัญประการแรก คือการขาดความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างและการประเมินผลโครงการ ข้อมูลจากรายงานของธนาคารโลกปี พ.ศ. 2565 ระบุว่า อปท. จำนวนมากไม่มีระบบการประเมินผลหรือฐานข้อมูลที่สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้อย่างชัดเจน การจัดซื้อรถขยะ โรงงานกำจัด หรือแม้กระทั่งการจ้างเหมาเอกชนในการขนขยะมักไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะและยากต่อการตรวจสอบ [19] ส่งผลให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเพื่อใช้ในการตรวจสอบหรือติดตามการใช้จ่ายงบประมาณท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ประการต่อมา คือความไม่ต่อเนื่องของนโยบายระดับชาติและท้องถิ่น แผนแม่บทด้านการจัดการขยะในระดับชาติ เช่น “โรดแมปการจัดการขยะพลาสติก” หรือ “แผนปฏิบัติการ Zero Waste” ที่ปรากฎใน แผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะของประเทศ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2565 – 2570) มีระยะเวลาดำเนินการสั้นและขาดกลไกบังคับใช้จริงในระดับท้องถิ่น อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดินทำให้นโยบายถูกยกเลิกหรือนโยบายของรัฐบาลใหม่เปลี่ยนทิศทางไป โดยไม่มีการประเมินผลอย่างเป็นระบบ [20] นอกจากนี้ แม้จะมีกฎหมายหรือแนวนโยบายที่ระบุถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชน เช่น พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 หรือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ตามมาตรา 58 และ 59 ที่ให้สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลและมีส่วนร่วมในกระบวนการนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม แต่ประชาชนยังคงมีส่วนร่วมในเชิงนโยบายและปฏิบัติการต่อการจัดการขยะในเขตเมืองอยู่ในระดับต่ำ

นอกจากข้อจำกัดเชิงเทคนิคแล้ว ยังมีปัจจัยเชิงทางการเมืองที่สำคัญ ได้แก่ พรรคการเมือง ผู้มีอำนาจในระดับชาติ และกลุ่มผลประโยชน์ เช่น บริษัทเอกชนผู้รับเหมาจัดการขยะ มักมีบทบาทแฝงในการกำหนดทิศทางนโยบาย โดยเฉพาะเมื่อการจัดซื้อจัดจ้างและสัมปทานระยะยาวมีความไม่โปร่งใส ส่งผลให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนที่ขัดต่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน [21] ในระดับท้องถิ่น นักการเมืองและข้าราชการจำนวนไม่น้อยยังมีความสัมพันธ์เชิงเครือข่ายกับผู้รับเหมา ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความโปร่งใสหรือการมีส่วนร่วมของประชาชน 


05 – การมีส่วนร่วมของประชาชน : ‘โอกาส’ หรือเพียงแค่ ‘สัญลักษณ์’ ?

แม้จะเห็นถึงภาพรวมและโครงสร้างในการจัดการขยะตามที่กล่าวข้างต้น หากแต่คำถามที่ยังคงเป็นข้อถกเถียงคือ “การมีส่วนร่วมของประชาชนในประเทศไทยมีความหมายในเชิงปฏิบัติจริง หรือเป็นเพียงพิธีกรรมเชิงสัญลักษณ์?” ในทางทฤษฎี การมีส่วนร่วมสามารถแบ่งได้เป็นหลายระดับ ได้แก่ การให้ข้อมูล (information sharing) การปรึกษาหารือ (consultation)  การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (decision-making) ตลอดจนการควบคุมและติดตามนโยบาย (monitoring & co-governance) [22] ทว่าในทางปฏิบัติกลับพบว่าการสื่อสารเชิงนโยบายระหว่างรัฐกับประชาชนยังไม่สามารถสร้างความเข้าใจและความร่วมมือที่ยั่งยืนให้แก่ประชาชนได้เนื่องจากประชาชนมักไม่ได้รับข้อมูลล่วงหน้าเกี่ยวกับการแยกขยะที่ต้นทางหรือการใช้พื้นที่ฝังกลบใกล้ชุมชน ไม่มีเวทีแสดงความคิดเห็นที่มีผลต่อการตัดสินใจ และกระบวนการรับฟังความคิดเห็นมักเป็นเพียงพิธีกรรม การมีส่วนร่วมส่วนใหญ่มักจำกัดอยู่ในระดับ “ให้ข้อมูล” เพื่อชี้แจงมากกว่าการรับฟังความคิดเห็นที่แท้จริง ซึ่งไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม [23] [24]

ตัวอย่างเช่นกรณีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของโครงการกำจัดขยะในหลายจังหวัด เช่น โรงเผาขยะในจังหวัดระยอง หรือพื้นที่ฝังกลบในจังหวัดสมุทรปราการ หน่วยงานผู้รับผิดชอบมักจัดงานในเวลาอันจำกัด และรัฐไม่ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของผู้เข้าร่วมงาน [25][34] ทำให้ประชาชนเป็นเพียงผู้รับสาร ไม่ใช่ผู้มีอำนาจร่วมในการตัดสินใจ ส่งผลให้เกิดความไม่ไว้วางใจต่อกระบวนการนโยบายและการใช้งบประมาณของรัฐ และกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการสร้างธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมในระยะยาว 

ถึงกระนั้น กลไกการมีส่วนร่วมที่ประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมยังคงปรากฎให้เห็น ได้แก่ การจัดการขยะชุมชนในเมืองไทเป (Taipei) ในการลดและคัดแยกขยะ ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “อัจฉริยะด้านการกำจัดขยะของโลก” [26] ความสำเร็จนี้ส่วนหนึ่งมาจาก “โครงการรีไซเคิลแบบสี่ประสาน (Resource Recycling Four-in-One Program)” ระหว่าง ประชาชน ภาคเอกชน (บริษัทรีไซเคิล) อปท. และกองทุนรีไซเคิลที่นำมาใช้ในปี พ.ศ. 2540 ประกอบกับการเคลื่อนไหวคัดค้านโรงไฟฟ้าขยะในเขตเป่ยโถว (Beitou) ในปี พ.ศ. 2541 โดยประชาชนจัดตั้งกลุ่มสิ่งแวดล้อมขึ้น การเข้าร่วมรับฟังความคิดเห็นสาธารณะและมีบทบาทในการตรวจสอบการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า การจัดการขยะประสบความสำเร็จได้เนื่องจากความต้องการของภาคประชาสังคมและการมีส่วนร่วมของพลเมืองอย่างแข็งขัน ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้รัฐบาลเมืองไทเปบริหารจัดการผลประโยชน์ที่หลากหลายเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านนโยบายขยะได้ [27]

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ เมืองซูราบายา (Surabaya) ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศอินโดนีเซีย ประชาชนในเขตเทศบาลเมืองซูราบายามีส่วนร่วมและใช้แนวทาง “Zero Waste Strategy” ที่ต้องการลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปฝังกลบหรือเผาให้เหลือน้อยที่สุดหรือเป็นศูนย์ในระยะยาว [28] ประชาชนออกแบบระบบจัดการขยะระดับชุมชน มีกลไกการมีส่วนร่วมกับภาครัฐที่หลากหลาย เช่น การจัดตั้งธนาคารขยะในระดับชุมชนเพื่อแลกขยะรีไซเคิลเป็นเงินออม ประชาชนร่วมคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง และการสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจในโครงการแลกขยะกับตั๋วโดยสารรถประจำทาง [29] [30] รวมถึงการให้ชุมชนออกกฎระเบียบภายใน กำหนดจุดรวบรวมขยะ และการอบรมผู้นำชุมชนด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคประชาชนในการกำกับดูแลตนเอง ทำให้เมืองสามารถลดปริมาณขยะส่งเข้าสู่หลุมฝังกลบได้มากกว่าร้อยละ 20 ภายในเวลาไม่ถึง 5 ปี และยังส่งเสริมพฤติกรรมที่ยั่งยืนในระดับครัวเรือน โรงเรียน และชุมชน [31]

ตัวอย่างเมืองไทเป และเมืองซูราบายาแสดงให้เห็นถึง “ธรรมาภิบาลจากล่างขึ้นบน” หรือ แนวทาง “Bottom-up governance” ที่การมีส่วนร่วมของประชาชนไม่ใช่เพียงกลยุทธ์เสริมในการจัดการขยะ แต่เปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีบทบาทตั้งแต่การตั้งคำถามเชิงนโยบาย การออกแบบแนวทาง การติดตามผล ธรรมาภิบาลของการมีส่วนร่วมจำเป็นต้องมีปัจจัยสนับสนุนหลัก 3 ประการ ได้แก่

  1. ประชาชนมีความรู้ในประเด็นปัญหาและโครงสร้างอำนาจในการตัดสินใจ
  2. โครงสร้างทางการเมืองรัฐสนับสนุนทั้งนโยบาย งบประมาณ และการสร้างเวทีที่ปลอดภัย
  3. พลังพลเมือง (civic agency) หรือพลเมืองสิ่งแวดล้อม (civic environmentalism) ที่เครือข่ายภาคประชาชนเข้มแข็ง ผลักดันและตรวจสอบนโยบาย การสร้างสถาบันพลเมืองที่เข้มแข็งในพื้นที่จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้การมีส่วนร่วมเกิดผลในเชิงโครงสร้างมากกว่าเพียงการให้ข้อมูลของภาครัฐแต่เพียงฝ่ายเดียว

ดังนั้นธรรมาภิบาลจากล่างขึ้นบนจึงไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนกระบวนการทางเทคนิค หากแต่ต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างรัฐ พรรคการเมือง นักการเมืองและข้าราชการ ทุน กลุ่มผลประโยชน์ และประชาชนในพื้นที่ เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างได้อย่างยั่งยืน [32]


06 – บทสรุป

วิกฤตขยะล้นเมืองในประเทศไทยมิใช่เพียงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเชิงเทคนิค หากแต่เป็นวิกฤตเชิงโครงสร้างที่สะท้อนถึงความล้มเหลวของระบบธรรมาภิบาลในการจัดการทรัพยากรร่วมอย่างมีประสิทธิภาพและความยั่งยืน ปัญหาหลักที่บทความฉายภาพได้อย่างชัดเจน คือ ความเปราะบางของการจัดการโดย อปท. ที่ขาดทั้งทรัพยากร กลไกตรวจสอบ และบทบาทของประชาชนในทุกขั้นตอนของวงจรการจัดการขยะ ทั้งนี้ บทวิเคราะห์ชี้ว่าการมองขยะเป็นเพียง “เรื่องปลายทาง” และผลักภาระให้ท้องถิ่นโดยปราศจากกลไกธรรมาภิบาลที่แท้จริง ยิ่งตอกย้ำความเหลื่อมล้ำของเมืองในมิติสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ

คำถามสำคัญคือ “การมีส่วนร่วมของประชาชนคือทางออกหรือไม่?” สามารถเปรียบเทียบระหว่างความล้มเหลวของเวทีรับฟังเชิงสัญลักษณ์ในประเทศไทย กับตัวอย่างความสำเร็จของเมืองไทเปและเมืองซูราบายาที่ใช้แนวทาง “ธรรมาภิบาลจากล่างขึ้นบน” โดยให้ประชาชนร่วมออกแบบระบบแยกขยะ ตรวจสอบนโยบาย และสร้างสถาบันพลเมืองในระดับชุมชน ประเด็นสำคัญคือ การมีส่วนร่วมจะกลายเป็นเพียงสัญลักษณ์หรือพิธีกรรมหากไร้กลไกที่มีพลังและสิทธิในการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ในขณะเดียวกัน การออกแบบระบบที่เปิดพื้นที่ปลอดภัยให้ประชาชนมีบทบาทเชิงนโยบายจริง สามารถเปลี่ยนธรรมาภิบาลจากภาวะ “ไร้ทิศทาง” ไปสู่แนวทางแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบ

สำหรับธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย บทความนำเสนอแนวทางเชิงวิพากษ์ถึงความจำเป็นของรัฐบาลไทยที่ต้องเปลี่ยนจากระบบรวมศูนย์แบบ “รัฐกำหนด” ไปสู่ระบบที่ให้ประชาชน “ร่วมออกแบบ” นโยบายผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างมีวิสัยทัศน์และเป็นระบบ พร้อมสร้างความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้าถึงง่าย ส่งเสริมพลเมืองให้มีอำนาจต่อรอง และออกแบบเครื่องมือที่ยืดหยุ่นตามบริบทของแต่ละพื้นที่ นอกจากนี้ ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเชื่อมโยงกับผลการประเมินของประชาชนในพื้นที่จะเป็นอีกกลไกที่สร้างความไว้วางใจระหว่างรัฐและประชาชน การมีส่วนร่วมจึงเป็นส่วนหนึ่งของธรรมาภิบาลเชิงปฏิบัติที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง 

แพรวพรรณ ศิริเลิศ – บรรณาธิการ
วิจย์ณี เสนแดง – ภาพประกอบ


ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ
#SDG11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
– (11.3) ยกระดับการพัฒนาเมืองและขีดความสามารถให้ครอบคลุมและยั่งยืนเพื่อการวางแผนและการบริหารจัดการการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์อย่างมีส่วนร่วม บูรณาการและยั่งยืนในทุกประเทศ ภายในปี2573
– (11.6) ลดผลกระทบทางลบของเมืองต่อสิ่งแวดล้อมต่อหัวประชากรโดยรวมถึงการให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อคุณภาพอากาศและการจัดการของเสียของเทศบาลและอื่นๆ ภายในปี 2573
– (11.a) สนับสนุนการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในทางบวกระหว่างพื้นที่เมือง รอบเมือง และชนบท โดยการเสริมความแข็งแกร่งของการวางแผนการพัฒนาในระดับชาติและระดับภูมิภาค
#SDG12 การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน
– (12.2) บรรลุการจัดการที่ยั่งยืนและการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ภายในปี 2573
– (12.4) บรรลุเรื่องการจัดการสารเคมีและของเสียทุกชนิดตลอดวงจรชีวิตของสิ่งเหล่านั้นด้วยวิธีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศที่ตกลงกันแล้ว และลดการปลดปล่อยสิ่งเหล่านั้นออกสู่อากาศ น้ํา และดิน อย่างมีนัยสําคัญ เพื่อจะลดผลกระทบทางลบต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุดภายในปี2563
– (12.5) ภายในปี 2573 จะต้องลดการเกิดของเสียโดยให้มีการป้องกัน การลดการแปรรูป เพื่อนํากลับมาใช้ใหม่ และการนํากลับมาใช้ซ้ํา
– (12.8) สร้างหลักประกันว่าประชาชนในทุกแห่งมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องและความตระหนักถึงการพัฒนาที่ยั่งยืนและวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติ ภายในปี 2573
#SDG16 ความสงบสุข ยุติธรรม และสถาบันที่เข้มแข็ง
– (16.6) พัฒนาสถาบันที่มีประสิทธิผล มีความรับผิดชอบ และโปร่งใสในทุกระดับ
– (16.7) สร้างหลักประกันว่าจะมีกระบวนการตัดสินใจที่มีความรับผิดชอบ ครอบคลุม มีส่วนร่วม และมีความเป็นตัวแทนที่ดี ในทุกระดับการตัดสินใจ
#SDG17 ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
– (17.14) ยกระดับความสอดคล้องเชิงนโยบายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

บรรณานุกรม 
[1] Devitt, J. (2025, March 27). As Cities Grow, How Will City Trash, Wastewater, and Emissions Rise? Retrieved May 29, 2025, from http://www.nyu.edu/content/nyu/en/about/news-publications/news/2024/january/as-cities-grow–how-will-city-trash–wastewater–and-emissions-r
[2] Myint, D. H. (2023, June 15). Thailand’s Waste Crisis and Circular Economy – Stratsea. Retrieved May 29, 2025, from https://stratsea.com/thailands-waste-crisis-and-circular-economy/
[3] สถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (สทย.). (2564). ปัญหาและแนวทางการจัดการขยะของประเทศไทย. Retrieved May 19, 2025, from ปัญหาและแนวทางการจัดการขยะของประเทศไทย website: https://www.nstda-tiis.or.th/th-waste-management-and-recommendations
[4] [5] กรมควบคุมมลพิษ. (2566). รายงานสถานการณ์มลพิษของประเทศไทย ปี 2566. Retrieved May 19, 2025, from https://www.pcd.go.th/publication/32171/
[6] [19] [21] World Bank. (2022). Plastic Waste Material Flow Analysis for Thailand [Text/HTML]. Retrieved May 19, 2025, from World Bank website: https://www.worldbank.org/en/country/thailand/publication/plastic-waste-material-flow-analysis-for-thailand
[7] วรรณวรางค์ ศุทธชัย, ลักขณา อินทร์บึง, และ หทัยวรรณ ธัญญพาณิชย์. (2562). มาตรการทางกฎหมายเพื่อการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการจัดการขยะชุมชน. Journal of Buddhist Education and Research (JBER), 5(2), 296–308.
[8] [23] Lee-Geiller, S., & Kütting, G. (2021). From management to stewardship: A comparative case study of waste governance in New York City and Seoul metropolitan city. Resources, Conservation and Recycling, 164, 105110. https://doi.org/10.1016/j.resconrec.2020.105110
[9] [10] UNDP (Ed.). (1997). Governance for sustainable human development: A UNDP policy document. New York: UNDP. Retrieved from https://digitallibrary.un.org/record/492551
[11] [13] [14] [16] [17] Evans, J., & Thomas, C. (2024). Environmental Governance. Abingdon, Oxon New York: Routledge.
[12] Lipschutz, R., & Kütting, G. (Eds.). (2009). Environmental Governance: Power and Knowledge in a Local-Global World. London New York: Routledge.
[15] Hardin, G. (1968). The Tragedy of the Commons. Science, 162(3859), 1243–1248. https://doi.org/10.1126/science.162.3859.1243
[18] ภูษิต แจ่มศรี และ อนุรัตน์ อนันทนาธร. (2566). ปัญหา ข้อจำกัด และแนวทางการพัฒนาการจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลขนาดใหญ่ในเขตพื้นที่อุตสาหกรรมภาคตะวันออกของประเทศไทย. วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย, 15(1), 123–139.
[18] [24] สมประสงค์ กลิ่นจันทร์ และ จักรวาล สุขไมตรี. (2568). ปัญหาการจัดการขยะมูลฝอยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในประเทศไทย. วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม, 3(2), 1181–1195.
[20] UNEP. (2021). From Pollution to Solution: A global assessment of marine litter and plastic pollution. Retrieved from https://www.unep.org/resources/pollution-solution-global-assessment-marine-litter-and-plastic-pollution
[22] Fung, A. (2006). Varieties of Participation in Complex Governance. Public Administration Review, 66(s1), 66–75. https://doi.org/10.1111/j.1540-6210.2006.00667.x
[25] เพ่ง บัวหอม. (2557). ความล้มเหลวของการจัดการความขัดแย้งเกี่ยวกับ ปัญหามลพิษระหว่างโรงงานเจนโก้ กับชุมชนเขตอุตสาหกรรมในจังหวัดระยอง. วารสารวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา, 22(40), 161–178.
[26] [27] Wong, N. W. M. (2021). The Politics of Waste Management in Greater China: Environmental Governance and Public Participation in Transition. Abingdon, Oxon New York: Routledge.
[28] Mohajan, H. K. (2025). Zero Waste: A New Sustainable Waste Management Philosophy in the 21st Century. Frontiers in Management Science, 4(3), 29–34.
[29] Fariz, R. D. A., Muis, R., Anggraini, N., Rachman, I., & Matsumoto, T. (2024). Good Environmental Governance Roles in Sustainable Solid Waste Management in Indonesia: A Review. Journal of Community Based Environmental Engineering and Management, 8(1), 45–56. https://doi.org/10.23969/jcbeem.v8i1.12035
[30] Kartikasari, M. M. (2024). Public participation of environmental cadre groups in Surabaya city in waste management. Cogent Social Sciences, 10(1), 2438139. https://doi.org/10.1080/23311886.2024.2438139
[31] US EPA. (2023). The Best Practices for Solid Waste Management: A Guide for Decision-Makers in Developing Countries [Other Policies and Guidance]. Retrieved from https://www.epa.gov/international-cooperation/best-practices-solid-waste-management-guide-decision-makers-developing
[32] อรอุมา รัตนพล, ทัชชวัฒน์ เหล่าสุวรรณ, และ ปิยลักษณ์ โพธิวรรณ์. (2564). การจัดการขยะในชุมชนเมือง: อำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชน. Journal of Politics and  Governance, 11(3), 184–197.
[33] World Bank. (2000). Reforming public institutions and strengthening governance: A World Bank strategy [Text/HTML]. Retrieved from https://documents.worldbank.org/pt/publication/documents-reports/documentdetail/en/994411468766776323
[34] สมพร เฟื่องจันทร์, เพ็ญศรี ฉิรินัง, และ อุดมวิทย์ ไชยสกุลเกียรติ. (2566). แนวทางการจัดการขยะในจังหวัดสมุทรปราการโดยใช้หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน. วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์, 9(2), 15–29.

Last Updated on มิถุนายน 11, 2025

Authors

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็นและรายละเอียดของท่านจะถูกเก็บเป็นความลับและใช้เพื่อการพัฒนาการสื่อสารองค์ความรู้ของ SDG Move เท่านั้น
* หมายถึง ข้อมูลที่จำเป็น